แนวรับ แนวต้าน ในการเทรด Forex หุ้น ทองคำ และ Indicator แนวรับแนวต้าน ที่คุณต้องรู้จัก!

Alexandros Theophanopoulos
25 นาที

แนวรับ แนวต้าน เครื่องมือสำคัญในการเทรด Forex และยังถือเป็นพื้นฐานหลักในการเทรดและการวิเคราะห์ตลาดการเงินอื่นๆ ด้วย โดยวิธีดูแนวรับแนวต้านหรือเครื่องมือหาแนวรับแนวต้านนี้จะใช้ Indicator แนวรับแนวต้าน หรือที่เราเรียกกันว่าตัวบ่งชี้แนวรับและแนวต้าน เป็นเครื่องมือสำคัญในการซื้อขาย Forex และ CFD

ซึ่งบทความนี้จะนำคุณมาทำความเข้าใจในการดูแนวรับแนวต้านและ 5 เครื่องมือการหรือใช้งานมากมายที่เหมาะสมสำหรับในแต่ตลาด ไม่เพียงแต่ใน Forex เท่านั้น แต่ยังรวมถึงตลาดการเงินอื่นๆ ด้วย พร้อมแนะนำ Indicator แนวรับแนวต้านที่ดีที่สุด รวมถึงเรื่องของ แนวต้านคือ ? หรือแนวรับ คือ ? รวมทั้งกลยุทธ์การซื้อขายแนวรับและแนวต้านไปพร้อมกันที่นี่ที่เดียว!

แนวรับ แนวต้าน คือ ?

แนวรับ แนวต้าน (Support & Resistance) คือ ระดับของราคาที่ถูกประเมินว่า มีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคา อาจเป็นเพียงราคาหนึ่งๆ หรือเป็นช่วงของราคาก็ได้ โดยระดับราคาเหล่านั้นจะถูกกำหนดขึ้นเองตามแต่มุมมองของผู้เข้าร่วมตลาดแต่ละคน ซึ่งสะท้อนว่าผู้เข้าร่วมตลาดมีมุมมองต่อระดับราคานั้นๆ ว่าเป็นตัวแทนของระดับอุปสงค์และอุปทานที่มีความสำคัญ

ความสำคัญของแนวรับแนวต้าน

  • แนวรับ แนวต้าน แสดงระดับราคาที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคา
  • แนวรับแนวต้าน นั้นคือระดับราคาที่สะท้อนอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply)
  • แนวต้านแนวรับ แสดงระดับราคาที่เป็นแนวรับ-แนวต้าน ที่ถูกกำหนดขึ้นเองตามมุมมองของแต่ละคน

กล่าวได้ว่า แนวรับ แนวต้าน คือส่วนสำคัญของตลาดการเงินทุกชนิด โดยแนวรับและแนวต้านใน Forex นั้นคล้ายกับในตลาดหุ้น เพื่อให้สามารถเข้าใจได่ง่ายขึ้นเราต้องถามก่อนว่า "อะไรเป็นสาเหตุของแนวรับและแนวต้าน"

ดังนั้น แนวรับ แนวต้าน มีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคา เพราะมันคือ ระดับราคาที่มีการแลกเปลี่ยนสถานะการซื้อขาย (Transaction) ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น มันจึงเท่ากับเป็นตัวสะท้อนระดับ Demand & Supply นั่นเอง โดยแนวรับ-แนวต้าน มีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของราคา ในแง่ที่ว่า เมื่อราคาเคลื่อนเข้ามาบริเวณ แนวรับ-แนวต้าน ราคาจะตอบสนองต่อแนวดังกล่าวโดยการแสดงพฤติกรรมหลายอย่างออกมา เช่น การสะท้อนกลับอย่างรวดเร็ว เป็นต้น

แนวรับ-แนวต้าน ถูกกำหนดขึ้นเองตามแต่ละมุมมอง ดังนั้นจึงมีหลายร้อยวิธีในการประเมินว่า ระดับราคาในช่วงไหนคือระดับราคาที่เป็น แนวรับ-แนวต้าน และสิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้อีกอย่าง คือมันมี แนวรับ-แนวต้าน ทั้งที่สำคัญมากและสำคัญน้อย และสิ่งที่คุณต้องทำต่อไปคือคุณต้องเริ่มเรียนรู้วิธีการหา แนวรับ-แนวต้าน ที่สำคัญก่อน เมื่อพื้นฐานแน่นแล้ว แนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเทรดได้ดีขึ้น

หา แนวรับ-แนวต้าน ที่สำคัญก่อน -> หา แนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ ทีหลัง

สัมมนาการเทรดออนไลน์ฟรี

เรียนสดกับเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ

วิธีตีเส้นแนวรับแนวต้าน 

เมื่อเข้าใจแล้วว่า แนวรับ แนวต้าน คือ ระดับราคาที่มีการแลกเปลี่ยนสถานะการซื้อขาย (Transaction) ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งความสำคัญ โดยตามมุมมองทางเทคนิคมักแบ่งเป็น 2 กรณีใหญ่ๆ

  • แนวรับ แนวต้าน คือ จุดที่เป็นจุดกลับตัวของราคา เพราะถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของความต้องการซื้อหรือขายใดๆ ไม่มีคนซื้อที่ราคาสูงกว่านี้ หรือไม่มีคนที่ขายที่ราคาต่ำกว่านี้
  • แนวรับ แนวต้าน คือ ระดับราคาที่มีความหนาแน่นของราคา หรือมีแท่งเทียนหลายๆ แท่งเทียนมี 'ราคาปิด' กระจุกกันในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเราจะไปดูแต่ละข้อกันอย่างละเอียด

1. ดูจุดกลับตัวของราคา

ภาพ 1.1 : กราฟ USDCAD รายสัปดาห์ แสดงโซนของแนวรับ-แนวต้าน ที่สร้างขึ้นจากจุดกลับตัวต่างๆ ของราคาตั้งแต่ 1 ม.ค. 2017 - 17 พ.ค. 2020 หมายเหตุ: ผลงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของผลลัพธ์ในอนาคต

ในภาพ 1.1 นั้น ให้สังเกตที่ลูกศรสีแดง นั่นคือ "จุดกลับตัว" สำคัญ เพราะเป็นจุดที่ราคาในไทม์เฟรมใหญ่ในรายสัปดาห์มีการวกกลับอย่างรวดเร็ว และให้สังเกตที่ลูกศรสีแดงด้านบนอีกคร้ังว่า แนวต้าน (Resistance) ในกรณีนี้ไม่ใช่แค่ระดับราคาหนึ่งๆ แต่เป็นช่วงของราคา เราเรียกว่า "โซนแนวต้าน" โดยจะสังเกตได้ว่า มันคือพื้นที่ที่ครอบคลุมตั้งแต่ High ไปจนถึง Low ของกราฟแท่งเทียนที่กลับตัว

และให้สังเกตต่อไปที่บริเวณโซนแนวต้านนี้ จะเห็นว่า ราคาจะมีปฏิกิริยาทุกครั้งเมื่อเข้ามาบริเวณโซนดังกล่าว กราฟบริเวณกลางภาพจะเห็นว่า ราคาแตะโซนแล้วก็ร่วงลงทันที และในด้านขวาสุด แม้ราคาจะทะลุผ่านไปมา และ Move สุดท้ายก่อนที่ราคาจะลง ราคาก็วกกลับมาปรับต้นทุน (การทดสอบของราคา) ที่บริเวณโซนของแนวต้านดังกล่าว ทั้งนี้ ในเรื่องแนวคิดของการทดสอบของราคา

2. ระดับราคาที่มีความหนาแน่น

ภาพ 1.2 : กราฟแบบ Line Chart แสดงโซนของแนวรับ-แนวต้าน ที่สร้างขึ้นจากโซนที่มีการกระจุกตัวของราคาของ Gold รายวัน ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2019 - 21 ก.ค. 2020 หมายเหตุ: ผลงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของผลลัพธ์ในอนาคต

ในเบื้องต้นหากคุณยังไม่มีประสบการณ์ในการอ่านกราฟมาก "ความหนาแน่น" จะมองเห็นได้ชัดเมื่อท่านเปลี่ยนเป็นกราฟแบบ Line Chart (กราฟเส้นหรือแผนภูมิเส้น) ทั้งนี้ Line Chart จะนำ 'ราคาปิด' มาเรียงติดต่อกันจนเป็นเส้น และโซนของระดับราคาที่มีความหนาแน่นก็จะเป็น จุดที่ไม่ได้เรียงเป็นเส้นตรงทอดเป็นแนวโน้มขึ้นหรือลงยาวๆ บ่อยครั้งเป็นจุดที่มีการย้ำไปย้ำมาของเส้น หรือจุดที่มีเส้นยักๆ เรียงติดๆ กัน

เหตุผลที่การตีเส้นแนวรับ แนวต้านในลักษณะนี้มีความสมเหตุสมผล ก็เนื่องจากการที่ราคาที่การย้ำหรือย่ำอยู่กับที่ของ 'ราคาปิด' มันก็หมายถึง จุดที่มีการแลกเปลี่ยนสถานะการซื้อขาย (Transaction) ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างมีนัยสำคัญ

ภาพ 1.3 : กราฟ CADCHF แสดงวิธีการตีโซน แนวรับ-แนวต้าน ด้วยแนวคิดความหนาแน่นของราคาแบบเดียวกับภาพ 1.2 แต่ในภาพนี้จะปรับเป็นกราฟ Candlestick ในรายสัปดาห์ ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2017 - 21 ก.ค. 2020 หมายเหตุ: ผลงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของผลลัพธ์ในอนาคต

แต่เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น คุณก็จะสังเกตเห็นได้ว่าระดับราคาที่มีความหนาแน่นก็คือโซนที่ราคามีความหนาแน่นเยอะๆ หรือช่วงที่มีการเบียดกันของกราฟแท่งเทียนหลายๆ แท่งติดต่อกันนั่นเอง จากภาพ 1.3 ด้านบน ให้สังเกตที่บริเวณลูกศรสีน้ำเงินที่จะแสดงให้เห็น กราฟแท่งเทียนที่มีความเบียดๆ ติดๆ กัน ไม่ได้สร้างแนวโน้มอย่างต่อเนื่อง และการตีโซนหรือการหาแนวรับแนวต้าน Forex จะตีคลุม High และ Low ของทั้งแท่งเทียนเนื่องจากเป็นธรรมชาติของตลาด Forex ที่มีความผันผวนสูง และเคลื่อนไหวเป็นจุดทศนิยม จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสามารถระบุตัวเลขของราคาหนึ่งๆ ที่เป็นเลขโดดๆ ที่เป็นแนวรับแนวต้าน แต่จะใช้วิธีตี 'กะประมาณ' เป็นโซนๆ ไป โดยแนวคิดพื้นฐานในการเทรดมักเริ่มมักเริ่มจาก

  • เมื่อราคาเข้ามา 'ทดสอบ' ที่บริเวณโซน แนวรับ-แนวต้าน ราคามักสะท้อนกลับออกไปสักระยะหนึ่ง
    • เมื่อราคาหล่นมา 'แนวรับ' ที่อยู่ด้านล่าง : เทรดเดอร์จะรอ Buy
    • เมื่อราคาไปปะทะ 'แนวต้าน' ที่อยู่ด้านบน : เทรดเดอร์จะรอ Sell

เริ่มเทรดโดย "ไร้ความเสี่ยง" กับบัญชีทดลองเทรด

หากคุณเริ่มได้ไอเดียเกี่ยวกับการเทรดด้วย แนวรับ แนวต้าน Forex แล้ว เราก็ภูมิใจเช่นกันที่จะนำเสนอว่า เทรดเดอร์มืออาชีพที่เลือกเทรดกับ Admirals สามารถเทรดในตลาดโดยปราศจากความเสี่ยงใดๆ ได้จากระบบบัญชีเงินทดลองเทรด (บัญชี Demo) ได้ ซึ่งทำให้สามารถทดลองกลยุทธิ์ใหม่ๆ อย่างไร้ข้อจำกัด คุณจะสามารถเทรดได้เหมือนตลาดจริงทุกประการ บนสภาพแวดล้อมจริงทุกประการ คำนวณเงินและราคาได้ตามตลาดจริง เพียงแต่เป็นการเทรดด้วยเงินที่จำลองขึ้นมาเท่านั้นเอง คุณสามารถฝึดเทรดได้เรื่อยๆ โดยไม่มีความเสี่ยงใดๆ ผ่านแพลตฟอร์ม MetaTrader 5 ที่จะช่วยให้คุณจะได้ออกแบบประสบการณ์การเทรดได้ด้วยตัวของคุณเอง คลิกที่ปุ่มด้านล่างเพื่อเปิดบัญชีทดลองได้แล้ววันนี้ ฟรี!

สรุปความสำคัญของแนวรับแนวต้าน

แนวรับ แนวต้าน คือ ระดับราคาที่มีการแลกเปลี่ยนสถานะการซื้อขาย (Transaction) ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่าง หรือก็คือ "ต้นทุน" ของ Player ในไทม์เฟรมต่างๆ ดังนั้น แนวรับ-แนวต้าน จะใช้เป็นแนวราคาสำหรับการเข้าเทรดด้วย เพราะหากตลาดยังมีแนวโน้มเดียวกันกับทิศทางของกลยุทธ์เรา การเข้าเทรดที่ แนวรับ-แนวต้าน จะส่งผลต่อประเด็นสำคัญในการเทรด 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือ

  • มันจะกลายเป็นต้นทุนที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น : จุดเข้าเทรด
  • มันจะทำให้เราสามารถควบคุมความเสี่ยงได้ดีกว่า

1. ต้นทุนที่ดี

ประเด็นนี้สืบเนื่องมาจากการพฤติกรรมราคาโดยทั่วไปเมื่อมันปะทะกับแนวรับแนวต้าน หลังจากที่มีการแลกเปลี่ยน Transaction หรือพูดง่ายๆ คือ Buyer กับ Sell ต่อสู้กันในโซนนั้นๆ และไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะ ราคาจะวิ่งออกจากโซน แนวรับ-แนวต้าน เป็นระยะทางที่ไกล จนกว่าจะไปถึงแนวรับ-แนวต้านถัดไป ให้ลองดูกรณีศึกษาในภาพ 1.4

ภาพ 1.4 : กราฟ BTCUSD รายวัน ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. 2019 - 3 ก.ค. 2020 แสดงแนวรับ (Support) ของราคา Bitcoin ซึ่งแนวรับดังกล่าวเป็นแนวที่แสดง "ต้นทุน" และมันก็เป็นต้นทุนที่ดีที่สุดเมื่อเข้าเทรด Buy ในจังหวะที่ราคาย่อตัว หมายเหตุ: ผลงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของผลลัพธ์ในอนาคต

จากภาพ 1.4 เป็นการเทรดตามแนวโน้ม เส้นคู่แนวนอนคือเส้นแนวรับ (หมายถึงกรณีที่ราคา ณ ปัจจุบันอยู่เหนือโซนเหล่านี้ เพราะถ้าอยู่ใต้เส้น เช่น เส้นคู่บนสุด นั่นเราจะเรียกว่าแนวต้าน

จะเห็นว่า ความจริงราคาก็เคลื่อนไปตามแนวโน้มของมันปกติ เราไม่มีทางรู้เลยว่า ราคาจะขึ้นถึงไหน ลงถึงไหน แต่ราคาจะมาหยุดพักที่บริเวณแนวรับแนวต้านเสมอ และในกรอบ Uptrend ในภาพ 1.4 ราคาก็เคลื่อนเป็นแนวโน้มขาขึ้น แต่ก็จะมีการพักตัวเป็นระยะๆ แต่ทุกครั้งมันจะกลับมาพักตัวบริเวณแนวรับที่สำคัญ

เมื่อเราพิจารณาได้แล้วว่า แนวโน้มของราคาเป็นอย่างไร ในกรณีนี้คือเป็นแนวโน้มขาขึ้น เราก็จะรอ Buy ที่แนวรับ จะเห็นได้ภาพบริเวณลูกศรสีน้ำเงินที่ชี้ไปที่บริเวณพื้นที่ที่ราคากลับมาทดสอบและกลับตัว นี่คือจังหวะที่ดีที่สุดในการเข้าเทรด Buy เมื่อแนวโน้มเป็นขาขึ้น

2. คุมความเสี่ยง

จังหวะการเข้าเทรดจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการควบคุมความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้ง ทั้งนี้ คุณต้องเข้าใจพฤติกรรมราคาในเบื้องต้นก่อนว่า เมื่อราคาเลยโซนแนวรับ-แนวต้าน ออกมาแล้ว ราคามีโอกาสหรือสามารถวิ่งเป็นระยะทางที่ไกลหรือในอัตราที่เร็วมากได้ ตัวอย่างในภาพ 1.5 บริเวณลูกศรสีน้ำเงิน จะเห็นว่า นั่นคือตัวอย่างที่แสดงว่า เวลาราคาอยู่กลางๆ โซนระหว่าง แนวรับ-แนวต้าน นั้น ราคามีโอกาสวิ่งเป็นแท่งยาวๆ ได้ง่ายมาก

ภาพ 1.5 : กราฟ BTCUSD รายวันตั้งแต่ 16 ก.ย. 2019 - 27 เม.ย. 2020 แสดงจังหวะต่างๆ ที่เป็นไปได้ในการเข้าเทรด ซึ่งแต่ละจังหวะที่ความเสี่ยงที่แตกต่างกัน หมายเหตุ: ผลงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของผลลัพธ์ในอนาคต

การเทรดในกลางๆ โซนเป็นสิ่งที่อันตราย เนื่องจากเราจะโดดความผันผวนของราคาบีบให้เราออกจากเกมง่ายเกินไป นั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องเทรดให้ใกล้โซนไว้ เพราะนอกเหนือจากประเด็นความผันผวนของราคาแล้ว อย่าลืมว่า มันคือต้นทุนของ Player อย่างที่เราได้อธิบายไปแล้ว

ที่นี้จากภาพ 1.5 เช่นเดิม ให้สังเกตลูกศรสีดำที่มีเครื่องหมาย "X" ตัวเล็กๆ ติดอยู่ นั่นคือตัวอย่างของจังหวะการเทรดทั้งสัญญาณ Sell คุณจะเห็นว่า จังหวะการ Sell ใน 2 จังหวะแรกนั่น แม้จะเหมือนเข้า Sell ได้ที่จังหวะ High พอดี แต่นี่ถือเป็นความเสี่ยงพอสมควร ที่ต้องไปไล่ราคาในกลางโซนแบบนี้ ส่วนในจังหวะสุดท้าย คุณอาจจะมองว่า เป็นสัญญาณ Sell แต่จะเห็นว่า คุณจะโดนธรรมชาติของราคาที่อยู่กลางๆ โซน กระชากขึ้นไปในเวลาสั้นๆ ได้

ดังนั้น แนวรับ-แนวต้าน ส่งผลต่อจังหวะการเทรด ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อความเสี่ยงของการเทรดแต่ละครั้ง ในลองดูที่ลูกศรสีเขียว นั่นจังหวะการเข้าเทรดที่บริเวณแนวรับ ซึ่งจะเห็นว่า มันง่ายกว่ามากๆ ในการตั้ง Stop Loss ไว้อย่างใต้แท่งเทียนก่อนหน้าแท่งที่เราจะเข้าเทรด และโอกาสที่เราจะโดน Stop Loss จะยากกว่ามากๆ เพราะเราเข้าที่บริเวณใกล้แนวรับซึ่งเป็นจุดกลับตัว

ฝึกวิเคราะห์แนวรับ แนวต้าน ด้วยบัญชีทดลองผ่าน MT5

รู้หรือไม่ว่า? MetaTrader 5 หรือ "MT5" เป็นแพลตฟอร์มการเทรดชั้นนำ ที่มีเครื่องมือการวิเคราะห์กราฟระดับสูง, ระบบการเทรดอัตโนมัติ ปรับแต่งเครื่องมือและระบบเทรดได้ตามต้องการ ข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดแบบเรียลไทม์ พร้อมเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในหลากหลายภาษา รวมถึงภาษาไทยด้วย และการเทรดกับ Admirals ยังมีข้อดีอื่นๆ ดังนี้

  • เปิดบัญชีทดลองเทรดได้ฟรี
  • และหากต้องการลงทุนในตลาดจริง เงินฝากขั้นต่ำเพียง 25 USD หรือประมาณ 750 บาทเท่านั้น!
  • มีหุ้นมากกว่า 8,000 รายการจากตลาดหุ้นสำคัญ 15 ตลาดทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, เยอรมนี ฯลฯ
  • สามารถใช้ Leverage ได้สูงสุดถึง 1:1000 ทำให้ซื้อขายได้มากกว่าปกติ 1,000 เท่า เหมาะสำหรับการแก้สถานการณ์ต่าง

การเปิดบัญชีกับ Admirals นั้นสะดวกรวดเร็วมากๆ ไม่ว่าจะเป็นบัญชีทดลองเทรดหรือบัญชีจริง คุณเพียงกรอกแค่ชื่อกับอีเมลเท่านั้น คุณก็จะได้รับอีเมลรหัสสำหรับการเข้าเทรด และลิงค์สำหรับดาวน์โหลดโปรแกรมเทรด คลิกเปิดบัญชีที่แบนเนอร์ด้านล่างนี้ได้เลย

เปิดบัญชี Copy Trading

คัดลอกการซื้อขายจากเทรดเดอร์มืออาชีพ ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้เครื่องมือช่วยหา 'แนวรับ แนวต้าน'

ในหัวข้อที่ผ่านๆ มา เราได้ปูพื้นฐานเกี่ยวกับแนวคิดในการหา แนวรับ แนวต้าน Forex ที่มุ่งเน้นในการหาแนวหลักๆ หรือ (Major support & resistance) ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด อยากให้ย้อนกลับไปดูในภาพ 1.3 ท่านจะเห็นว่า Major support & resistance เราจะใช้เส้นแทบทึบในการตีโซนไว้ ในขณะที่ แนวรับ แนวต้าน Forex ย่อยๆ (Minor support & resistance) จะใช้เส้นประในการตี

'แนวหลัก' กับ 'แนวย่อย' มีความแตกต่างกันอย่างไรนั้น เมื่อคุณลองพิจารณาจะเห็นว่า " แนวหลัก" คือ แนวกลับตัวใหญ่ๆ สามารถมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า และเมื่อมันมักเป็นแนวกลับตัวใหญ่ๆ ดังนั้น ระยะห่างระหว่างแนวหลักๆ จะไกลกันมาก ซึ่งจะถ้าเราใช้เฉพาะ "แนวรับ-แนวต้าน หลักๆ" เราจะมีจังหวะในการเข้าเทรดที่ไม่ถี่ หรือนานๆ เทรดได้ทีนึง ซึ่งอาจทำให้เราไม่สามารถใช้กลยุทธ์บางประเภท โดยเฉพาะที่กลยุทธ์ที่เน้นในการเพิ่มอัตราการเพิ่มขึ้นของผลกำไร (เร่งจังหวะ หรือเร่งอัตราการผลิต Cashflow)

ภาพ 1.6 : กราฟ BABA ราย 15 นาที, ตั้งแต่ 12 ก.พ. - 14 พ.ค. 2020, แสดงแนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ เป็นเส้นประ ในกราฟหุ้น Alibaba หมายเหตุ: ผลงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของผลลัพธ์ในอนาคต

ในกรณีที่เราต้องการเร่งจังหวะการเทรด โดยเฉพาะการ Scalping หรือ Day Trade ด้วยกลยุทธ์เรามักถูกบังคับให้เราไปต่อสู้กับความผันผวนในตลาด และเครื่องมือสำคัญที่เราต้องใช้ คือ "แนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ" แต่จากภาพ 1.6 คุณจะเห็นว่า แนวย่อยๆ ดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ให้สังเกตลูกศรสีฟ้าด้านขวาที่ชี้ไปที่ราคาที่เป็นแนวย่อยๆ ซึ่งมีเป็นสิบแนวๆ ในขณะที่ลูกศรสีเขียวพยายามอธิบายการเคลื่อนไหวของราคา ที่มี Reaction ต่อแนวย่อยต่างๆ อย่างไม่สามารถคาดเดาได้ ดังนั้น การจะเข้าไปเทรดตามแนวย่อยๆ เพื่อเร่งจังหวะการเทรด เราต้องมีเครื่องมือช่วยในการกรองจังหวะ

Indicator แนวรับแนวต้าน

มี Indicator หลายตัวที่สามารถใช้หา แนวรับ แนวต้านย่อยๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในที่นี่เราจะแนะนำวิธีการใช้ Indicator ทั้งหมด 5 ตัว ซึ่งเป็นตัวแทนจากเครื่องมือ 3 ประเภท คือ Trend (Oscillator) Pivot Point (Admiral Pivot) และ Fibonacci 

1. Trend: Moving Average

สำหรับกราฟราคาหุ้น ไทม์เฟรมเล็กสุดที่พอจะเป็นไปได้ที่จะใช้ Moving Average อาจจะใช้ประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะหุ้นจะมีรอบการเทรดที่น้อย การเคลื่อนไหวของราคามีน้อย จึงควรใช้ไทม์เฟรมที่ไม่เล็กเกิน โดยค่าของ Moving Average ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมราคา ลองดูตัวอย่างในภาพ 1.7 ด้านล่าง ในกรณีนี้คือใช้ค่า 50 ใน Moving Average

อย่างไรก็ตาม หากเป็นตลาด Forex ที่มีสภาพคล่องสูง ทำให้มีการซื้อขายกันตลอดเวลา ในกรณีแบบนี้เราสามารถปรับไทม์เฟรมให้เล็กลงเพื่อให้สอดรับกับความผันผวนของตลาดได้ โดยอาจใช้ไทม์เฟรม 5 นาที และปรับ Moving Average เป็น 200 เป็นต้น สิ่งลักษณะบางประการที่ทำให้ตลาด Forex แตกต่างจากตลาดหุ้น

ภาพ 1.7 : กราฟ BABA รายชั่วโมง, ตั้งแต่ 12 ก.พ. - 14 พ.ค. 2020, แสดงวิธีกรอง แนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ ที่สามารถใช้เป็นจังหวะเทรดได้โดยมีความเสี่ยงน้อยกว่าการไล่ซื้อทุกแนวย่อย ในกราฟหุ้น Alibaba หมายเหตุ: ผลงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของผลลัพธ์ในอนาคต

คุณจะเห็นว่า มีแนวรับ แนวต้านแบบย่อยๆ ที่เราเคยตีไว้ในภาพ 1.6 มาผสานกันกันแนวเส้น Moving Average ซึ่งจะหมายความว่า ที่มีราคาย่อยๆ บริเวณนั้น คือแนวย่อยๆ ที่แข็งพอจะใช้เป็นจังหวะในการเข้าเทรดได้ ซึ่งจากเดิมที่แนวย่อยๆ เหล่านี้มีเป็นสิบๆ แนว ตอนนี้จะเหลือแค่ 4-5 แนวดังภาพ ที่มีการเน้นเปลี่ยนจากเส้นประเป็นเส้นทึบ แต่ทั้งนี้อยากจะโน๊ตไว้อีกประการหนึ่งว่า เครื่องมือยอดนิยมอย่าง Bollinger Bands สามารถใช้แทนในหัวข้อนี้ได้โดยตรง

Oscillator : RSI

กรณีของ Oscillator เราใช้มันหา แนวรับ-แนวต้าน บนพื้นฐานของแนวคิดเรื่อง "การแลกเปลี่ยน Transaction" อีกเช่นกัน โดยจุดที่เป็น Overbought หรือ Oversold ที่พีคเกินเส้น 30 หรือ 70 ไปมากๆ แล้วราคากลับตัวในภายหลัง จุดนั้นมักเป็นจุดที่มีการแพ้-ชนะ อย่างกระทันหัน ของ Buyer และ Seller แล้วราคาจะมีการกระชากกลับมา และจุดนั้นก็คือแนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ ที่แข็งพอสำหรับใช้เข้าเทรด ลองดูตัวอย่างในภาพ 1.8 ด้านล่าง

ภาพ 1.8 : กราฟ EURUSD ราย 1 ชั่วโมง, ตั้งแต่ 9 มิ.ย. - 20 ก.ค. 2020, แสดงแนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ ที่สร้างขึ้นจากมุมมองของการใช้ RSI หมายเหตุ: ผลงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของผลลัพธ์ในอนาคต

2. Admiral Pivot

ในบทความเทคนิคการใช้ " Pivot Point Indicator" อธิบายไว้แล้วว่า Pivot Point คือ เครื่องมือระบุระดับราคาที่เป็นแนวรับแนวต้านให้อัตโนมัติ โดยคำนวณจากราคา High, Low และราคาปิด (Close) ของช่วงเวลาก่อนๆ

ภาพ 1.9 : กราฟ GBPJPY ราย 5 นาที, 9 ก.ค. 2020 แสดงแนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ ที่สร้างขึ้นจาก Admiral Pivot Point
หมายเหตุ: ผลงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของผลลัพธ์ในอนาคต

 

จากเดิมที่เราเคยเจอปัญหาว่า มีแนวรับ-แนวต้านย่อยๆ เกิดขึ้นมากมายในไทม์เฟรมย่อยๆ แล้วเราจะ Action ที่แนวราคาไหนดี ซึ่งในภาพ 1.9 จะเห็นว่า พอเข้าใส่ Pivot Point Indicator เข้าไป มันเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ในการเทรด Forex ของเราได้ โดย Pivot Point จะคำนวณให้เห็นเฉพาะแนวรับ-แนวต้านย่อยๆ ที่สำคัญๆ เท่านั้น โดย

  • S1, S2, S3 คือ แนวรับ
  • R1, R2, R3 คือ แนวต้าน
  • PP คือ จุดกลาง หรือจุดอ้างอิง

ในภาพ 1.9 ให้ท่านเริ่มจากการพิจารณา เส้นประสีชมพูที่ด้านซ้ายก่อน จะเห็นว่ามันคือแนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ ที่สร้างขึ้นจากมุมมองของการตีกรอบในบริเวณที่มีความหนาแน่นของราคาและเป็นกรอบที่ราคามี Reaction ด้วย ส่วนด้านขวาจะเป็น เครื่องแนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ ที่สร้างขึ้นจาก Pivot Point จะเห็นว่า มีแนวราคาที่ใกล้เคียงกันมาก ดังนั้น ในกรณีของ Pivot Point คุณสามารถใช้เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของแนวรับ-แนวต้าน ย่อยๆ แบบเดียวกันกับเทคนิคการหาด้วย Moving Average ก็ได้

ตัว Pivot Point ในแพลตฟอร์ม MetaTrader ทั่วๆ ไป จะไม่ได้แถมมาให้ ซึ่งสำหรับเฉพาะลูกค้าของ Admirals จะมีแพลตฟอร์มพิเศษ ชื่อว่า MetaTrader 5 Supreme Edition ซึ่งไม่ได้มีแค่ Admiral Pivot Point ยังมีปลั๊กอินพิเศษอื่นๆ เช่น Indicator ตรวจสอบความแข็ง-อ่อน ของค่าเงินต่างๆ โดยคุณสามารถดาวนืโหลดไปใช้ได้ฟรี คลิกที่แบนเนอร์ด้านล่าง!

แพลตฟอร์มที่มีสินทรัพย์ให้ลงทุนอย่างหลากหลาย

3. Fibonacci Retracement

ในบทความนี้จะไม่ลงลึกเกี่ยวกับ " กลยุทธ์ Fibonacci Trading" ทั้งหมด แต่จะอธิบายพื้นฐานเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแนวรับ แนวต้าน Forex เท่านั้น โดยความจริงแล้ว เรื่องนี้มีพื้นฐานจากทฤษฎีดาวมากพอสมควร โดย Dow สังเกตเห็นว่า ในตลาดที่เป็นแนวโน้ม ตลาดมักจะย่อตัวแค่ 2 ระดับใหญ่ๆ คือ 1/3 และ 2/3 ของการเคลื่อนไหวของราคา โดยมุมมองตลาดต่อการย่อตัวจะเป็นดังนี้

  • ย่อตัว 1/3 จะหมายถึง แนวโน้มของตลาดยังมีสภาวะที่แข็งแกร่งพอสมควร
  • ย่อตัว 2/3 จะหมายถึง แนวโน้มของตลาดได้อ่อนแรงลง ซึ่งนำไปสู่ 2 ประเด็นต่อเนื่อง
    • โอกาสที่ราคาจะยังคงทิศทางเดิมยังมีอยู่ แต่จะใช้กำลังและเวลามากกว่า ที่จะทำ New High ได้อีกครั้ง
    • โอกาสที่ราคาจะเทรดเป็น Sideways ไปสักพัก จะมีสูงมาก เพราะการย่อตัวในระดับ 2/3 หรือราวๆ 60% จะทำให้ Buyer (กรณีเป็น "ขาขึ้น" บางกลุ่มต้องออกจากตลาดไปชั่วขณะ

จะเห็นว่า ระดับการย่อตัวมีผลมุมมองในเชิง Technical Analysis อย่างมาก ซึ่งการย่อตัวดังกล่าวนั้น มักจะพอดีกับแนวรับ-แนวต้านย่อยๆ นั่นเอง อย่างไรก็ตาม มุมมองของ Dow มันเหมาะกับตลาดแบบเก่า แต่หากเป็นตลาด Forex ในปัจจุบัน จะมีคลื่นของการเคลื่อนไหวของราคาที่มากกว่า ความผันผวนที่มากกว่า จึงนิยมใช้ Fibonacci Retracement เพราะจะสามารถกำหนดจังหวะการเทรดได้ละเอียดกว่า ลองดูภาพตัวอย่าง 2.0 ด้านล่าง

ภาพ 2.0 : กราฟ CADCHF ราย 1 ชั่วโมง, ตั้งแต่ 18 FEB - 22 July 2020, แสดงแนวรับ-แนวต้าน ที่สร้างขึ้นจาก Fibonacci Retracement หมายเหตุ: ผลงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้ของผลลัพธ์ในอนาคต

ในกรณีของ Fibonacci Retracement จะนิยมแบ่งสภาวะความแข็งแกร่งของแนวโน้มค่อนข้างละเอียด จะเห็นว่า ในภาพ 2.0 คือแนวโน้มขาลง โดยลูกศรสีน้ำเงินคือการจำลอง Reaction ที่เป็นไปได้ที่ราคาจะกระทำต่อแนว Fibonacci Retracement โดยให้สังเกตแต่ละระยะดังต่อไปนี้

  • 23.6%, 38.2% = ในกรณีนี้คือการย่อตัวที่มองว่า "ราคายังแข็งแกร่งอยู่" = ราคามีโอกาสวิ่งไปแนวโน้มเดิมได้ง่าย
  • 50%, 61.8% = เป็นการย่อตัวที่มาก "ราคาอ่อนแรงลงพอสมควร"
    • สำหรับในตลาด Forex การย่อตัวมาที่ระดับ 50%, 61.8% สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ยาก และราคายังคงสามารถกลับไปเป็นแนวโน้มเดิมได้
    • แต่แม้ราคาจะยังเป็นแนวโน้มเดิม ที่การย่อตัวระดับนี้ ราคามักจะเคลื่อนเป็น Sideways ก่อนสักระยะ ดังนั้น เทรดเดอร์อาจใช้วิธีเข้าเก็บระยะสั้นๆ เช่น ตามภาพ 2.0 ที่เป็นขาลง เทรดเดอร์อาจเข้า Sell ที่แนว 50% แล้วมาปิดทำกำไรบริเวณแนว 38.2%
  • มากเกิน 61.8% แต่ไม่เกิน 78.6% : กรณีที่ราคาย่อตัวเกิน 61.8% ขึ้นไป เรามักถือว่าแนวโน้มมีจบลงแล้ว (ไปต่อยาก)
    • ราคาที่ย่อมาระดับ 78.6% มักเป็นจุดสังเกตการสำหรับคนที่รอเทรดด้วย Pattern แบบ Harmonic ซึ่งเป็นมุมมองการเทรดสำหรับตลาดแบบ Sideways

และนี่คือทั้งหมดของเรื่อง แนวรับ แนวต้าน Forex เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์จากบทความนี้พอสมควร

เริ่มต้นเทรดออนไลน์กับ Admirals

คุณพร้อมแล้วใช่หรือไม่ที่จะได้ทดสอบระบบเทรด "แนวรับ แนวต้าน Forex" ของคุณแบบจริงจัง? เราเชื่อว่าเป็นแบบนั้น! แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ คุณควรจะต้องมีการทดสอบก่อนว่า ระบบเทรดของคุณใช้งานได้จริงๆ หรือไม่ ซึ่งวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการทดสอบในบัญชีเงินจำลองหรือ "Demo Account" ซึ่งทำให้คุณสามารถเทรดในตลาดโดยปราศจากความเสี่ยงใดๆ สามารถทดสอบกลยุทธิ์ใหม่ๆ ผ่านการซื้อขายที่เหมือนตลาดจริง และเหมือนสภาพแวดล้อมจริงทุกประการ

คุณจะได้ซื้อขายด้วยราคา Real-Time กำไร-ขาดทุนตามการคำนวณจริงๆ เพียงแต่เป็นการเทรดด้วยเงินที่จำลองขึ้นมาเท่านั้นเอง ดังนั้น Demo Account ก็เปรียบเสมือนห้องเรียนที่คุณจะได้ออกแบบประสบการณ์การเทรดได้ด้วยตัวของคุณเอง! คลิกที่แบนเนอร์ด้านล่างเพื่อเปิดบัญชีทดลองได้แล้ววันนี้ ฟรี!

บัญชีทดลองเทรด

ฝึกฝนการเทรดในตลาดจริงด้วยเงินจำลอง หรือ Demo Account เลือกสินทรัพย์ที่ต้องการฝึกเทรดได้อย่างอิสระ มีระบบคำนวณกำไร-ขาดทุนแบบอัตโนมัติให้ศึกษา

แนวรับ แนวต้าน และคำถามที่พบบ่อย

กฎในการดูแนวรับ แนวต้าน คืออะไร ?

หากราคาต่ำกว่าระดับแนวรับ ระดับนั้นจะกลายเป็นแนวต้าน หากราคาพุ่งขึ้นเหนือแนวต้าน ระดับนั้นก็จะกลายเป็นแนวรับ และหากราคาเคลื่อนผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านไปก็หมายความว่าอุปสงค์และอุปทานมีการเปลี่ยนแปลงทะลุระดับที่คาดการณ์ไว้

 

การหาแนวรับแนวต้าน Forex ต้องทำอย่างไร ?

ในการระบุแนวรับหรือแนวต้าน คุณต้องกลับไปดูที่กราฟ เพื่อหาการหยุดชั่วคราวในการขึ้นหรือลงของราคาจากนั้นรอดูว่าราคาจะหยุดและ/หรือกลับตัวเมื่อเข้าใกล้ระดับนั้นหรือไม่

 

Indicator แนวรับแนวต้านมีอะไรบ้าง ?

Fibonacci คือ Indicator ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการหาแนวรับแนวต้าน นอกจากนี้ยังมี Moving Averages และ Pivot Points ด้วยเช่นกัน

บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

เกี่ยวกับ Admirals

Admirals เป็นโบรกเกอร์ Forex และ CFD ที่ชนะรางวัลมากมาย อีกทั้งได้รับ ใบอนุญาตและกำกับดูแลจากหลายประเทศทั่วโลก โดยให้บริการซื้อขายตราสารการเงินมากกว่า 8,000 รายการผ่านแพลตฟอร์มเทรดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอย่าง MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 เริ่มเทรดเลยวันนี้

Disclaimer: เอกสารนี้ไม่มีและไม่ควรตีความว่ามีคำแนะนำการลงทุน, การให้คำปรึกษาด้านการลงทุน, ข้อเสนอหรือคำชักชวนให้ทำธุรกรรมใด ๆ ในตราสารทางการเงิน โปรดทราบว่า ในกรณีของการวิเคราะห์การซื้อขายใด ๆ ที่อ้างอิงถึงผลการดำเนินงานหรือสถิติในอดีต พฤติกรรมของข้อมูลดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนใด ๆ คุณควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจถึงความเสี่ยงเป็นอย่างดีแล้ว

TOP ARTICLES
6 กลยุทธ์การเทรดและเทคนิคการเทรด Forex สำหรับปี 2024!
ไม่ว่าการที่มีกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพมาช่วยในการนำทางการเทรดในตลาดการเงินนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด รวมไปถึงการตัดสินใจลงทุนให้กับคุณได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่อะไรที่ถือเป็นเทคนิคการเทรดที่มีประสิทธิภาพ และยิ่งไปกว่านั้นคือคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือเทคนิคการเทรดยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีที่ส...
Scalping คือ ? พร้อมเทคนิค Scalping ใน 1 นาที ฉบับใช้ได้จริง!
Scalping คือ ? ถึงแม้ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มหัดเทรดใหม่ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเคยได้ยินคำว่า 'scalping' มาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาแนะแนวความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคนิคการเทรด Forex ระยะสั้นหรือที่เรียกกันว่า 'Scalping Forex' รวมทั้งสอนกลยุทธ์และเทคนิคต่างๆ ในการเทรดแบบ Scalping ด้วย ในที...
Carry Trade คือ ? : กลยุทธ์ Carry Trade (แครี่เทรด) ทำอย่างไร
Carry Trade คือ ? คุณรู้หรือไม่ว่า Carry Trade คือหนึ่งในกลยุทธ์การเทรดที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งถูกพัฒนาโดยผู้บริหารกองทุนระดับแถวหน้า มันเป็นการซื้อและขายสกุลเงิน 2 สกุลเงินที่แตกต่างกัน โดยผู้ที่จะสามารถใช้กลยุทธ์ดังกล่าวได้ ต้องเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงสินทรัพย์ทางการเงินได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ต้องขอบ...
ดูทั้งหมด