6 กลยุทธ์การเทรดและเทคนิคการเทรด Forex สำหรับปี 2024!

Admirals
20 นาที

ไม่ว่าการที่มีกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพมาช่วยในการนำทางการเทรดในตลาดการเงินนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด รวมไปถึงการตัดสินใจลงทุนให้กับคุณได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่อะไรที่ถือเป็นเทคนิคการเทรดที่มีประสิทธิภาพ และยิ่งไปกว่านั้นคือคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือเทคนิคการเทรดยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีที่สามารถนำมาใช้ช่วยเทรดได้อย่างไร้ความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง

คู่มือแนะนำกลยุทธ์เทคนิคการเทรดนี้จะประกอบไปด้วยเทคนิคการเทรด 6 วิธีด้วยกัน รวมไปถึงข้อมูลสำคัญที่มีประโยชน์อย่างมากอย่างวิธีใช้และทดสอบกลยุทธ์การเทรดหุ้นอีกด้วย

กลยุทธ์และเทคนิคการเทรด คืออะไร

กลยุทธ์การซื้อขายคือรายการของกฎที่กำหนดพารามิเตอร์ที่แน่นอนที่ผู้ซื้อขายต้องการ เพื่อดำเนินการซื้อขาย รายการกฎอาจรวมถึงการวิเคราะห์ chart pattern การใช้ price action อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค หรือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน โดยในปัจจุบันก็มีกลยุทธ์การเทรดที่ได้รับความนิยมอย่าง day trading, swing trading และกลยุทธ์อื่นๆ ตามความเหมาะสม

กลยุทธ์การซื้อขายใช้เพื่อปรับปรุงกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ตลาดกำลังทำ โดยการสร้างชุดกฎหรือวิธีการเพื่อทำการตัดสินใจซื้อขาย เทคนิคและวิธีการซื้อขายจำนวนมหาศาลสามารถครอบงำได้ การมีรายการกฎเกณฑ์จะช่วยกำหนดโครงสร้าง จุดสนใจ และความสม่ำเสมอในการวิเคราะห์ตลาด

6 กลยุทธ์การซื้อขายยอดนิยม

มีกลยุทธ์การซื้อขายและเทคนิคการซื้อขายหลายประเภทให้เลือก แม้ว่าวิธีการใช้กลยุทธ์จำนวนมากอาจดูน่ากลัว แต่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่บุคคลจากทุกสาขาอาชีพเข้าร่วมในตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเทรดระยะสั้น เทรดระยะยาว หรือการลงทุน กลยุทธ์การเทรดส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้วิธีการเทรดต่างๆ ที่ระบุไว้ด้านล่าง

1. กลยุทธ์การเทรดแบบรายวัน (Day Trading Strategies)

Day trading คือ ? เดย์เทรด หรือ Day trading คือรูปแบบการเทรดที่เทรดเดอร์ซื้อและขายหลักทรัพย์หลายตัวภายในวันเดียว นักเทรดรายวันน้อยมากที่จะถือตำแหน่งข้ามคืน ไม่ต้องพูดถึงเป็นเวลาหลายวัน ดังนั้น จึงนิยมใช้กราฟในกรอบเวลาที่ไม่นานมาก เช่น กราฟ 4H 1H 30M และ 15M 

เทรดเดอร์มือใหม่จำนวนมากหันไปหาการซื้อขายรายวัน จากความเข้าใจที่ว่ามีความเป็นไปได้ในการซื้อขายที่ทำกำไรได้หลายครั้งในวันเดียว แม้ว่าการซื้อขายระหว่างวันสามารถทำกำไรได้อย่างแน่นอน แต่ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการฝึกฝนและอาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนครั้งใหญ่สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ทำให้ไม่ค่อยมีใครแนะนำให้ทำการตัดสินใจทางการเงินที่มีความเสี่ยงสูงหลายครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ เว้นแต่จะมีการเรียนเทรดและเข้าใจมากพอสมควร

กลยุทธ์การเทรดแบบ Day Trading เป็นอย่างไร

แม้ว่าเดย์เทรดจะท้าทาย แต่ก็เป็นไปได้ที่จะเรียนรู้เทคนิคเดย์เทรดและฝึกฝนกลยุทธ์เดย์เทรดจนกว่าจะเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นเดย์เทรดหรือฟอเร็กซ์เดย์เทรด มีองค์ประกอบสำคัญบางประการในการสร้างกลยุทธ์เดย์เทรด ดังนี้

  1. จะเทรดตลาดไหน? ไม่เพียงแต่การเลือกหุ้นเดย์เทรด แต่เทคนิคเดย์เทรดนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากสามารถใช้ได้กับตลาดหลักทุกแห่ง และเทรดเดอร์รายวันทำการซื้อขายจำนวนมากในการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น การเลือกตลาดที่เสนอค่าคอมมิชชั่นต่ำและสเปรดต่ำจึงเป็นสิ่งสำคัญ 
  2. ใช้ไทม์เฟรมหรือ TF แบบไหน? ในการซื้อขายรายวันมี TF หรือกรอบเวลาหลายประเภทให้เลือก การเลือกกรอบเวลาที่เหมาะกับความพร้อม เพื่อให้คุณคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของราคา
  3. เข้าและออกจากการเทรดด้วยเครื่องมืออะไร? ในการเรียนรู้วิธีการซื้อขายรายวัน มีอินดิเคเตอร์การซื้อขายจำนวนมากให้เลือกใช้ โดยคุณสามารถโฟกัสไปที่ 1 หรือ 2 อย่างเพื่อฝึกฝนวิธีการทำงานให้เชี่ยวชาญ
  4. ความเสี่ยงที่รับได้ ขนาดของสัญญาและการจัดการความเสี่ยงมีความสำคัญมากในการซื้อขายและการลงทุน ดังนั้น จึงไม่ควรวางตัวเองในตำแหน่งที่เสี่ยงมากเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสในการขาดทุน

ตัวอย่างกลยุทธ์การซื้อขายวัน (Day Trading)

Disclaimer: กราฟของตราสารทางการเงินในบทความนี้ มีไว้เพื่อใช้ในการอธิบาย และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการซื้อขายหรือการชักชวนให้ซื้อหรือขายตราสารทางการเงินต่างๆ ที่จัดทำโดย Admira Markets (CFD, ETF, หุ้น) ประสิทธิภาพการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพในอนาคต

กราฟด้านบนแสดงพฤติกรรมราคาของคู่สกุลเงินในช่วงการซื้อขาย 2 วัน การสร้างกลยุทธ์การซื้อขายรายวันมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเทรดเดอร์รายวันต้องเผชิญกับการเคลื่อนไหวของราคาแบบสุ่มจำนวนมากซึ่งก่อให้เกิดสภาวะตลาดและแนวโน้มที่หลากหลาย (การเคลื่อนไหวของราคาทั้งแบบ upward downward และ sideway) ซึ่งต้องใช้เทคนิคการซื้อขายรายวันที่แตกต่างกัน

อินดิเคเตอร์การซื้อขาย เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (moving average) ที่เป็นที่นิยมสำหรับเทรดเดอร์รายวัน เนื่องจากมีประโยชน์ในการแยกความแตกต่างระหว่างสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง ลองวางแผนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในกราฟราคาเดียวกันกับข้างต้น เหมือนกับที่เดย์เทรดเดอร์ทำ

ที่มา: กราฟจากแพลตฟอร์ม Admirals MetaTrader 5

จากภาพเส้นสีน้ำเงินแสดงค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 ช่วงของราคาปิดของแท่ง 20 แท่งก่อนหน้า โดยเทรดเดอร์จะสามารถใช้กลยุทธ์การซื้อขายรายวันนี้ เพื่อสร้างกฎหรือเงื่อนไขสำหรับการซื้อขายได้

  • เกณฑ์ที่ 1: เมื่อราคาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ให้มองหาสถานะซื้อหรือซื้อเท่านั้น
  • เกณฑ์ที่ 2: เมื่อราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ให้มองหาการเทรดสั้นหรือขายเท่านั้น

กฎง่ายๆ 2 ข้อนี้สามารถช่วยปรับปรุงและเน้นกระบวนการตัดสินใจของเทรดเดอร์รายวัน โดยกฎภายในกลยุทธ์การซื้อขายที่มีประสิทธิภาพจะแตกต่างกันไป ในตัวอย่างนี้ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยกรองทิศทาง และเทรดเดอร์ยังคงต้องการเงื่อนไขสำหรับการเข้าและออกตามเวลา เช่นเดียวกับขนาดความเสี่ยงและการจัดการความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม

ทั้งนี้ กลยุทธ์การเทรดจะลงรายละเอียดที่มากขึ้น หากเราพูดถึงกลยุทธ์เฉพาะสำหรับฟอเร็กซ์ หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนี แต่เพื่อหากคุณยังไม่มั่นใจหรือต้องการทดลองกลยุทธ์ในสภาวะตลาดจริงได้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับเงินทุนได้แล้ววันที่กับบัญชีทดลองเทรดของเรา คลิกที่แบนเนอร์ด้านล่าง หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมหรือเปิดบัญชีทดลองเทรดได้เลย!

สัมมนาการเทรดออนไลน์ฟรี

เรียนสดกับเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ

2. กลยุทธ์การเทรดแบบ Swing Trading 

Swing trading คืออะไร? Swing trading คือวิธีการที่เทรดเดอร์ซื้อและขายหลักทรัพย์เพื่อถือครองเป็นเวลาหลายวันหรือสัปดาห์ สวิงเทรดเดอร์หรือที่เรียกว่าเทรดเดอร์ที่ติดตามแนวโน้มมักจะใช้กราฟรายวันเพื่อเข้าสู่การซื้อขายที่สอดคล้องกับแนวโน้มโดยรวมของตลาด

บางกลยุทธ์การเทรดแบบสวิงใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟราคาในการตัดสินใจซื้อขายเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่กลยุทธ์การเทรดแบบสวิงจะใช้ข้อมูลพื้นฐานหรือการวิเคราะห์หลายกรอบเวลา เนื่องจากจำเป็นต้องมีข้อมูลและรายละเอียดที่หลากหลายเพื่อช่วยในการถือครองการเทรดเป็นเวลาหลายวันหรือนานกว่านั้น

ตัวอย่างกลยุทธ์การเทรดแบบ Swing Trading 

หนึ่งในเทคนิคการซื้อขายที่เป็นที่นิยมมากสำหรับการซื้อขายแบบสวิง คือ การใช้อินดิเคเตอร์ ซึ่งมีอินดิเคเตอร์การซื้อขายแบบสวิงหลายประเภทในตลาด แล้วอะไรคืออินดิเคเตอร์ที่ดีที่สุดสำหรับการซื้อขายแบบสวิง? สวิงเทรดเดอร์หลายคนจะใช้ Stochastic Oscillator, MACD หรือ Relative Strength Index (RSI) เพื่อให้สามารถตรวจสอบรูปแบบของราคาที่ยังคงดำเนินต่อไปในแนวโน้มหรือมีการเปลี่ยนทิศทาง

ซึ่งการเลือกใช้อินดิเคเตอร์ที่ดีที่สุดสำหรับการซื้อขายแบบสวิง คืออินดิเคเตอร์ที่คุณได้ทดสอบและเรียนรู้การใช้งาน และทำความคุ้นเคย ลองดูตัวอย่างกราฟการเทรดแบบสวิง ด้านล่าง

Disclaimer: กราฟของตราสารทางการเงินในบทความนี้ มีไว้เพื่อใช้ในการอธิบาย และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการซื้อขายหรือการชักชวนให้ซื้อหรือขายตราสารทางการเงินต่างๆ ที่จัดทำโดย Admira Markets (CFD, ETF, หุ้น) ประสิทธิภาพการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพในอนาคต

กราฟกลยุทธ์การซื้อขายแบบสวิงส่วนใหญ่มี 3 องค์ประกอบ ดังนี้

  1. แท่งกราฟรายวันหรือแท่งเทียน: ซึ่งกราฟแต่ละแท่งหรือแท่งเทียนจะแสดงมูลค่าการซื้อขายในหนึ่งวัน

  2. ฟิลเตอร์ของเทรนด์ ในกราฟตัวอย่างข้างต้น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 จะถูกใช้เป็นตัวกรองเทรนด์และแสดงด้วยเส้นหยักสีแดงที่เคลื่อนผ่านแท่งราคา
  3. อินดิเคเตอร์ overbought และ oversold ใจากตัวอย่างกราฟข้างต้น มีการใช้อินดิเคเตอร์ Stochastic Oscillator ในการหาสัญญาณซื้อมากเกินไป (overbought) และขายมากเกินไป (oversold) ซึ่งจะพบได้ที่ด้านล่างของกราฟราคา

เนื่องจากกลยุทธ์การซื้อขายเป็นเพียงวิธีการที่ช่วยในกระบวนการตัดสินใจของเทรดเดอร์เท่านั้น และกลยุทธ์การซื้อขายจึงสามารถทำได้โดยใช้องค์ประกอบ 3ส่วนข้างต้น ซึ่งมีตัวอย่างการใช้ ดังนี้

  • เกณฑ์ที่ 1: เมื่อราคาซื้อขายสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ให้เข้าซื้อหรือซื้อเท่านั้น เมื่อตลาดซื้อขายต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ให้เข้าขายหรือขายเท่านั้น
  • เกณฑ์ที่ 2: เข้าสู่การซื้อขายระยะยาวหาก Stochastic Oscillator ต่ำกว่า 20 เท่านั้น เนื่องจากถึงลิมิตที่มีการขายมากเกินไป และเข้าสู่การซื้อขายระยะสั้นหาก Stochastic Oscillator อยู่เหนือ 80 เท่านั้นเนื่องจากถึงลิมิตที่มีการซื้อมากเกินไป

การใช้กฎพื้นฐานข้างต้นจะส่งผลให้เทรดเดอร์สามารถระบุระดับรายการในกล่องทองที่พบในกราฟด้านล่าง

ที่มา: กราฟจากแพลตฟอร์ม Admirals MetaTrader 5

เทรดเดอร์สามารถใช้กฎง่ายๆ นี้เป็นจุดเริ่มต้นในการซื้อขายตามเทรนด์และกำหนดเวลาในการเข้าเทรด ซึ่งกลยุทธ์การเทรดแบบสวิงที่เหมาะสมอาจมีกฎเพิ่มเติม เพื่อจัดการกับรูปแบบแท่งที่เฉพาะเจาะจง หรือระดับแนวรับและแนวต้านสำหรับราคาเข้าและตำแหน่งหยุดการขาดทุน เช่นเดียวกับการวิเคราะห์กรอบเวลาที่สูงขึ้นเพื่อระบุระดับการทำกำไร เนื่องจากสวิงเทรดเดอร์มีเป้าหมายที่จะถือการเทรดสำหรับหลายวันขึ้นไป

.หากเทรดเดอร์เลือกใช้อินดิเคเตอร์ที่ดีก็สามารถช่วยในการจัดระบบแนวทางภายในกลยุทธ์การซื้อขายโดยรวม ดังนั้น คุณจึงไม่สงสัยว่าอินดิเคเตอร์กำลังบอกอะไรอยู่ การเตรียมพร้อมจึงเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จเมื่อทำการเทรดในตลาดด้วย

เปิดบัญชี Copy Trading

คัดลอกการซื้อขายจากเทรดเดอร์มืออาชีพ ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

3. กลยุทธ์การเทรดแบบ Position Trading

Positional Trading คืออะไร? การเทรดแบบ Position หรือ Position Trading นั้นเป็นสไตล์การเทรดที่เทรดเดอร์จะทำการซื้อขายหลักทรัพย์แบบระยะยาวซึ่งมีการถือสถานะสัญญายาวนานหลาย ๆ สัปดาห์หรือเป็นเดือน ๆ เทรดเดอร์ที่เทรดแบบ Position Trading นั้นมักจะใช้ข้อมูลจากกราฟรายวัน, รายสัปดาห์ และรายเดือนผนวกเข้ากับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานบางประเภทมาช่วยในการตัดสินใจลงทุน จุดสำคัญก็คือเทรดเดอร์แบบ Position Trading นั้นเป็นนักลงทุนที่มุ่งหวังผลกำไร (active investor) โดยจะไม่ค่อยให้ความสนใจกับการขึ้นลงของราคาตลาดในระยะสั้น ๆ และจะมีการถือสถานะสัญญาซื้อขายในระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน

จุดสำคัญที่เทรดเดอร์แบบ Position Trading จะมองหาก็คือผลตอบแทนที่ได้จากการเก็งกำไรนั่นเอง โดยทั่วไปแล้วเทรดเดอร์แบบ Position Trading นั้นจะทำการถือสถานะสัญญาซื้อขายเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน จึงทำให้มักจะต้องเทรดเสียจำนวนเล็กน้อยหลาย ๆ ครั้งก่อนที่จะทำกำไรครั้งใหญ่ได้ในทีเดียว ซึ่งการเทรดแบบนี้ทำให้เทรดเดอร์แบบ Position Trading ต้องเสี่ยงเสียเงินทุนเล็กน้อยต่อการเทรดหนึ่งรายการเพื่อเพิ่มความถี่ของปริมาณการเทรดซึ่งเป็นการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงลงนั่นเอง

ตัวอย่างกลยุทธ์การเทรดแบบ Positional Trading 

Disclaimer: กราฟของตราสารทางการเงินในบทความนี้ มีไว้เพื่อใช้ในการอธิบาย และไม่ถือเป็นคำแนะนำในการซื้อขายหรือการชักชวนให้ซื้อหรือขายตราสารทางการเงินต่างๆ ที่จัดทำโดย Admira Markets (CFD, ETF, หุ้น) ประสิทธิภาพการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพในอนาคต

กลยุทธ์การเทรดแบบ Position trading ส่วนใหญ่มี 3 องค์ประกอบ ดังนี้

  1. ใช้กราฟรายวัน หรือกรอบเวลาหรือสูงกว่า เช่น กราฟรายสัปดาห์หรือรายเดือน
  2. ฟิลเตอร์ของเทรนด์ จากกราฟตัวอย่างข้างต้น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 ถูกใช้เป็นฟิลเตอร์ และแสดงด้วยเส้นหยักสีส้มที่เคลื่อนผ่านกราฟ
  3. อินดิเคเตอร์ Trend Reversal (จุดกลับตัวของแนวโน้มราคาหุ้น) จากกราฟตัวอย่างด้านบน จะใช้อินดิเคเตอร์ MACD Oscillator ใช้เพื่อระบุโมเมนตัมที่เปลี่ยนแปลง และอยู่ที่ด้านล่างของกราฟ

เนื่องจากกลยุทธ์การซื้อขายนี้เป็นเพียงชุดของกฎและเงื่อนไขเพื่อช่วยในกระบวนการตัดสินใจของเทรดเดอร์ จึงสามารถทำได้โดยใช้องค์ประกอบ 3 อย่าง ดังนี้

  • เกณฑ์ที่ 1: เมื่อราคาซื้อขายสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ให้เข้าซื้อหรือซื้อเท่านั้น เมื่อตลาดซื้อขายต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ให้เข้าขายหรือขายเท่านั้น
  • เกณฑ์ที่ 2: เข้าสู่การซื้อขายระยะยาวหาก MACD Oscillator อยู่เหนือ 0 เท่านั้น เนื่องจากเป็นสัญญาณของโมเมนตัมที่เปลี่ยนเป็นขาขึ้น เข้าสู่การซื้อขายระยะสั้นหาก MACD Oscillator ต่ำกว่า 0 เท่านั้น เนื่องจากเป็นสัญญาณขอโมเมนตัมที่เปลี่ยนเป็นขาลง

ช่วงเวลาที่เป็นไปตามกฎทั้งสองตามกราฟด้านบน - ราคาที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 และ MACD Oscillator ที่สูงกว่า 0 - ยังแสดงถึงช่วงเวลาที่มีแนวโน้มยาวนานที่สุด ทั้งนี้ เทรดเดอร์ยังคงต้องหาเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการเทรด และแม้ว่าจะทำอย่างถูกต้อง โมเมนตัมอาจเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม ส่งผลให้เทรดเสียได้

อย่างไรก็ตาม การเทรดแนวโน้มระยะยาวนี้คือสิ่งสำคัญที่ position เทรดเดอร์ต้องระมัดระวังและมีความอดทนมากพอ

เทรดบัญชีทดลองโดยปราศจากความเสี่ยง

ฝึกฝนการเทรดด้วยเงินจำลองฟรี

4. กลยุทธ์การเทรดแบบอัตโนมัติ (Algorithmic Trading) 

Algorithmic Trading คืออะไร ? Algorithmic Trading คือ วิธีการเทรดที่เทรดเดอร์จะใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการเทรด ซึ่งเทรดเดอร์จะเขียนรหัสให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำงานตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเทรดที่กำหนด Algorithmic Trading ยังรู้จักกันในชื่ออื่น ๆ อย่างเช่น Algo Trading, Automated Trading, Black-box Trading หรือ Robot Trading

เทคนิคการเทรดแบบ Algorithmic Trading นั้นจะพยายามใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยแต่ถี่ ๆ หลาย ๆ ครั้ง เทรดเดอร์มือใหม่หลาย ๆ คนมักจะถูกชักชวนให้เทรดด้วยกลยุทธ์เทคนิคการเทรดแบบ Algorithmic Trading ที่ช่วยทำการเทรดในเวลาที่ไม่อาจทำการเทรดด้วยตนเองได้ แต่การหวังผลกำไรจากการใช้ระบบเทรดอัตโนมัติเช่นนี้ก็มักจะนำไปสู่เคสหลอกลวงหลายๆ เคส จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

แม้ว่าเทคนิคการเทรดแบบ Algorithmic Trading มักจะนำไปสู่ความล้มเหลวเสียมากกว่าการประสบความสำเร็จในการเทรด แต่ก็มีเทรดเดอร์จำนวนไม่น้อยที่รู้จักใช้ประโยชน์จาก Algorithmic Trading ควบคู่ไปกับการเทรดด้วยตนเอง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเทรดเสียน้อยลง เทรดเดอร์หลาย ๆ คนจะใช้อัลกอริธึมในการลงทุนหรือในตลาดหุ้นเพื่อช่วยหาปัจจัยพื้นฐาน หรือปัจจัยทางเทคนิคสำหรับสร้างเทคนิคการเทรดของตนเอง

อัลกอริธึมนั้นจะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับเครื่องสแกนหาตลาดที่มีแนวโน้มจะทำกำไรได้ ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถจดจ่ออยู่กับการวิเคราะห์กราฟราคาเป็นหลักโดยใช้กลยุทธ์และเทคนิคการเทรดของตนเอง

5. กลยุทธ์การเทรดแบบ Seasonal Trading 

Seasonal Trading คืออะไร? Seasonal trading หรือการเทรดตามฤดูกาล คือ การเทรดบนความเป็นไปได้ที่จะเกิดเทรนด์ (แนวโน้ม) เดิมซ้ำอีกในช่วงเวลาเดียวกันของทุกปี ตลาดการเงินหลายๆ ตลาดมักจะมีพฤติกรรมประจำฤดูกาลซึ่งเป็นไปตามสภาพอากาศ, ประกาศด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล และผลประกอบการของบริษัท เป็นต้น

เทรดเดอร์ที่เทรดตามฤดูกาลจะใช้รูปแบบตามฤดูกาลของทุก ๆ ปีเหล่านี้เป็นข้อมูลทางสถิติในการเลือกเทรด ดังนั้นถึงแม้ว่าการเทรดตามฤดูกาลจะไม่ใช่การซื้อหรือขายโดยเฉพาะ แต่รูปแบบเวลาตามฤดูกาลนั้นก็ทำให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นภาพโดยรวมที่ต้องการสำหรับกลยุทธ์และเทคนิคการเทรดของตน

เทคนิคการเทรดด้วยกลยุทธ์การลงทุนตามฤดูกาล (Seasonal Trading)

หนึ่งในรูปแบบเทคนิคการลงทุนตามฤดูกาลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และยังถูกใช้เป็นเทคนิคการเทรดหุ้นยอดนิยมด้วยเช่นกัน นั่นก็คือคำกล่าวตั้งแต่สมัยโบราณที่ว่า 'Sell in May and Go Away' ซึ่งอธิบายได้ดีถึงการเทรดตามฤดูกาลที่ตลาดหุ้นจะมีความอ่อนแอหรือมีมูลค่าลดลงในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี

จากวารสารการวิเคราะห์ด้านการเงินในปี 2013 มีกรณีศึกษาหนึ่งที่ทำการสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงระหว่างปี 1998 ถึงปี 2012 ซึ่งผลตอบแทนของหุ้นในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายนนั้นสูงกว่าในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าสภาวะตลาดจะไม่ดีในช่วงระยะเวลาฤดูร้อนเสมอไป

อย่างไรก็ดี การสังเกตการณ์ดังกล่าวก็ยังพบว่ามีอีกหนึ่งกลยุทธ์เทคนิคการเทรดหุ้นตามฤดูกาลที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นั่นก็คือปรากฏการณ์ "Santa Claus Rally" ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ตลาดหุ้นจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้นในช่วงระหว่าง 5 วันทำการสุดท้ายของปีและ 2 วันทำการแรกของปีของตลาดหุ้น สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจก็คือการเทรดตามฤดูกาลแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรมากในเทคนิคการเทรดเลย เทรดเดอร์ที่เทรดตามฤดูกาลยังต้องมองหาอินดิเคเตอร์และเครื่องมืออื่น ๆ มาช่วยเสริมในการหาตลาดที่มีทิศทางที่ชัดเจนในการเทรด และไม่พึ่งเพียงแค่การวิเคราะห์อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

สัมมนาการเทรดออนไลน์ฟรี

เรียนสดกับเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ

6. กลยุทธ์การการซื้อขายระยะยาว (Long-Term Trading) 

กลยุทธ์การลงทุนและกลยุทธ์การเทรดอาจมีความคล้ายกันมาก แต่ก็มีความแตกต่างที่ชัดเจน คือ กลยุทธ์การลงทุนได้รับการออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุนสามารถถือครองสถานะในระยะยาว ในขณะที่กลยุทธ์การซื้อขายหรือการเทรดนั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อดำเนินการในสถานะระยะสั้น

กลยุทธ์การลงทุนส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบให้เป็นกลยุทธ์การเทรดหุ้น เนื่องจากในทางทฤษฎีแล้ว การซื้อกิจการของบริษัทที่ทำกำไรสามารถมีโอกาสเกิดเหตุการที่ไม่คาดคิดได้เสมอ และหากบริษัทล้มละลาย นั่นหมายถึงนักลงทุนจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดไป

เมื่อนักลงทุนได้กำหนดกฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขสำหรับกลยุทธ์การลงทุน ก็เป็นเรื่องปกติที่จะพยายามเลียนแบบเมตริกของบริษัทที่โดดเด่น เช่น Amazon หรือ Facebook แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีอีกหลายบริษัทที่นักลงทุนพยายามวางตำแหน่งตัวเองตามรูปแบบการลงทุนที่เฉพาะเจาะจง เช่น

  • Growth Investing หรือ การลงทุนเน้นหุ้นโตเร็ว ซึ่งเป็นวิธีการสำหรับกลยุทธ์นี้จะเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตเร็วโดยจะมองหาหุ้นตัวที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้มากที่สุด ถ้าจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่อยู่ในช่วงอิ่มตัวของวัฏจักรธุรกิจของตน ยกตัวอย่างเช่นหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีนั้นดูจะดึงดูดนักลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่เติบโตเร็ว เนื่องจากบริษัทประเภทนี้มักจะเข้าตลาดหุ้นเพื่อระดมเงินทุนเพื่อให้บริษัทนั้นเติบโตมากขึ้น
  • Value Investing หรือ การลงทุนเน้นหุ้นคุณค่า วิธีการสำหรับกลยุทธ์นี้จะเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นคุณค่า คือจะมองหาหุ้นที่ "คุ้มค่า" กับเงินลงทุนมากที่สุด หุ้นโตเร็วนั้นมักจะมีราคาสูงเนื่องจากมีแนวโน้มที่จะทำกำไรได้มากขึ้นในอนาคต แต่สำหรับหุ้นคุณค่านั้นจะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีราคาหุ้นต่ำ เนื่องจากมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับบริษัท หรือบริษัทมีการบริหารจัดการที่ไม่ค่อยดี โดยนักลงทุนประเภทนี้มักจะรอให้สถานการณ์ของบริษัทเปลี่ยนแปลงและเข้าลงทุนซื้อขายทันทีเมื่อสถานการณ์ของบริษัทกลับมาดีขึ้น

หากคุณกำลังคิดจะลงทุนในตลาดหุ้นเพื่อสร้างพอร์ต คุณจะต้องมีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดมาใช้ในการเทรด และหนึ่งในผลิตภัณฑ์นั้นก็คือ Invest.MT5 ซึ่งให้คุณสามารถลงทุนในหุ้นและ ETF ในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกทั้ง 15 แห่งด้วยแพลตฟอร์มเทรด MetaTrader 5 อีกทั้งยังเพิ่มประโยชน์อื่นๆ ให้คุณอีกด้วย ทั้งข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ฟรี, อัพเดตสภาวะตลาดแบบพรีเมียม, บริการรักษาบัญชีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม, ค่าคอมมิชชั่นในการทำธุรกรรมต่ำ และบริการจ่ายเงินปันผล เพียงคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่างนี้ก็เริ่มเทรดได้เลย

เทรดบัญชีทดลองโดยปราศจากความเสี่ยง

ฝึกฝนการเทรดด้วยเงินจำลองฟรี

แพลตฟอร์มเทรดที่ดีที่สุดสำหรับการเทรดออนไลน์ด้วยกลยุทธ์เทคนิคการเทรด

การเข้าถึงแพลตฟอร์มเทรดที่เสถียรและปลอดภัยนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับการเทรดในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งแพลตฟอร์มเทรดที่ดีที่สุดจะต้องให้คุณสามารถดูกราฟราคาย้อนหลังของตราสารที่คุณกำลังเทรดอยู่ได้ รวมถึงให้ข้อมูลคำสั่งซื้อขายที่ส่งไป และบริหารจัดการเทรดของตนได้

ต้องขอบคุณเทคโนโลยีอันล้ำหน้าที่ทำให้ตอนนี้คุณสามารถใช้งานแพลตฟอร์มแสดงกราฟราคาและแพลตฟอร์มจัดการเทรดจากโบรกเกอร์ได้ทั้งหมดในที่เดียวด้วยแพลตฟอร์มเทรด MetaTrader จาก Admirals ซึ่งประกอบไปด้วย

  • MetaTrader 4
  • MetaTrader 5
  • MetaTrader WebTrader
  • MetaTrader Supreme Edition (ปลั๊กอินที่สามารถปรับแต่งได้สำหรับ MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 ซึ่งสร้างขึ้นโดย Admirals ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญการเทรดมืออาชีพ)
ภาพหน้าจอตัวอย่างของแพลตฟอร์ม Admirals MetaTrader 5

ด้วยแพลตฟอร์มที่กล่าวถึงในข้างต้น ทำให้คุณสามารถเทรดตราสารได้ทุกประเภทรวมถึงใช้กลยุทธ์เทคนิคการเทรดด้วย เช่น เทคนิคการเทรด Forex, กลยุทธ์การเล่นหุ้น, กลยุทธ์ CFD, กลยุทธ์เทรดสินค้าโภคภัณฑ์ และเทคนิคการเทรดดัชนี โดยคุณสามารถเข้าถึงตราสารได้มากกว่า 8,000 รายการ รวมทั้งข่าวประกาศต่าง ๆ และเครื่องมือเทรดขั้นสูงอีกด้วย

สิ่งสำคัญที่สุดของการใช้งานแพลตฟอร์มเหล่านี้ก็คือคุณสามารถเข้าถึงคลังขนาดใหญ่ของอินดิเคเตอร์สำหรับการเทรดซึ่งมีประโยชน์อย่างมากเมื่อต้องติดตามและปรับปรุงกลยุทธ์เทคนิคการเทรดต่าง ๆ ให้เหมาะกับตลาดแต่ละประเภท โดยคุณสามารถเข้าถึงอินดิเคเตอร์ยอดนิยมของโลกได้ฟรีบนทุกแพลตฟอร์ม MetaTrader จาก Admirals เช่น

  • RSI 
  • Bollinger Bands Indicator
  • MACD Indicator
  • Ichimoku Indicators
  • และอินดิเคเตอร์สำหรับการเทรดขั้นสูงอีกมากมาย

เทรดบัญชีทดลองโดยปราศจากความเสี่ยง

ฝึกฝนการเทรดด้วยเงินจำลองฟรี

เทคนิคการเทรดยอดนิยมตามประเภทของสินทรัพย์

เนื้อหาในส่วนนี้จะกล่าวถึงเทคนิคการเทรดรูปแบบต่าง ๆ ในตลาดการเงินต่าง ๆ ซึ่งต้องจำไว้ว่ากลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพนั้นถูกออกแบบมาเพื่อรวบรัดข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนให้รวบรัดตรงจุดมากขึ้นด้วยการสร้างหลักเกณฑ์หรือวิธีการเพื่อเป็นแนวทางในการเทรดนั่นเอง

เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนใหญ่มักจะมีความเชื่อว่ากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพนั้นคือเทคนิคที่ทำให้สามารถเทรดได้กำไร 100% และจะใช้เวลาทั้งหมดที่มีไปกับการค้นหาเทคนิคนั้นให้เจอ แม้ว่าจะมีเว็บไซต์ที่โฆษณาชวนเชื่อว่ามี "ระบบเทคนิคการเทรดที่ดีแบบไร้ที่ติ" ให้กับผู้ที่ยังมีความรู้ไม่มากพออยู่มากมายหลายเว็บไซต์ก็ตาม แต่จงรู้ไว้เลยว่าสิ่งนั้นมันไม่มีจริง

เทคนิคการเทรดที่มีหลักการบริหารความเสี่ยงที่ดีและถูกต้องจะทำให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ต้องผ่านทั้งการเทรดเสียและเทรดได้หลาย ๆ ครั้งด้วยเช่นกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในตลาด กลยุทธ์การเทรดที่เราจะกล่าวต่อไปนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงโอกาสความเป็นไปได้หลากหลายโอกาสที่เทรดเดอร์จะต้องเจอ รวมไปถึงยังเป็นจุดเริ่มต้นในการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเทรดที่มีความละเอียดและรอบคอบมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

กลยุทธ์และเทคนิคการเทรด Forex

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศถือเป็นตลาดที่มีความเหมาะสมกับเทคนิคการเทรดเกือบทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นเดย์เทรด (Day Trading), สวิงเทรด (Swing Trading), การเทรดแบบอัตโนมัติ (Algorithmic Trading) ฯลฯ เนื่องจากตลาด Forex นั้นเปิดทำการ 24 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ ทำให้ตลาด Forex เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องที่สุดที่เปิดให้มีการซื้อขายได้

กลยุทธ์การเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD

เนื่องจากตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราเปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตราสารประเภทสกุลเงินอย่าง EUR/USD จึงเกิดสภาวะตลาดหลาย ๆ สภาวะภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ทั้งแนวโน้มราคาขาขึ้น (Uptrend), แนวโน้มราคาขาลง (Downtrend) และแนวโน้มราคาออกข้าง (Sideways) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เทรดเดอร์บางคนเลือกใช้ Bollinger Bands ในกลยุทธ์การเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD ของตน

Bollinger Bands จะถูกใช้เพื่อบ่งชี้หาตลาดที่มีความเงียบเหงา และมักจะมีแนวโน้มราคาออกข้าง (Sideways) ในขณะเดียวกันก็มองหาตลาดที่มีความผันผวนของราคามากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเป็นเทรนด์ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เครื่องมือ Bollinger Band จะประกอบด้วยเส้น 3 เส้น โดยเส้นตรงกลางคือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) แบบ 20 วันใช้คำนวณหาค่าของเส้นบน (Upper Band) กับเส้นล่าง (Lower Band) เส้นสองเส้นดังกล่าวนี้เป็น 2 Standard Deviations (SD หรือค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) จากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) แบบ 20 วัน

เนื่องจากค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) นั้นเป็นการวัดหาความผันผวนของราคา ทำให้หลักเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นใน Bollinger Band จะเน้นไปที่การเคลื่อนไหวของเส้นบนและเส้นล่าง เช่น

  • เกณฑ์ที่ 1: เมื่อเส้นทั้งสองเส้นแยกขยายออกจากกันแสดงว่าตลาดมีความผันผวนมากขึ้นและอาจเริ่มเป็นเทรนด์
  • เกณฑ์ที่ 2: เมื่อเส้นทั้งสองเส้นบีบเข้าหากันแสดงว่าตลาดมีความผันผวนน้อยลงและมีแนวโน้มทิศทางราคาออกข้าง

ลองมาดูกราฟราคาในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงของคู่สกุลเงิน EUR/USD ที่มีการใช้อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands กันสักหน่อย

ราฟราคาคู่สกุลเงิน EUR/USD แสดงให้เห็นว่าเส้น Bollinger Bands มีการบีบเข้าหากัน คำสงวนสิทธิ์: กราฟราคาของตราสารการเงินที่ปรากฏในบทความนี้ถูกใช้เพื่อแสดงตัวอย่างและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการเทรดหรือคำชักชวนให้ซื้อหรือขายตราสารการเงินใด ๆ โดย Admirals (CFD, ETF, หุ้น) ผลตอบแทนการลงทุนในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ในกราฟราคาข้างต้น เส้นสีเขียว 3 เส้นคืออินดิเคเตอร์ Bollinger Bands ส่วนกล่องสีเหลืองจะแสดงช่วงระยะเวลาที่เส้น Bollinger Bands มีการบีบตัวเข้าหากัน ในกรณีส่วนใหญ่แล้วพฤติกรรมราคาตลาดจะเป็นไปในทิศทางออกข้าง (Sideways) แต่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่แตกต่างกัน โดยอาจมีช่วงระยะเวลาอื่น ๆ ที่ราคาตลาดออกข้าง (Sideways) แต่เส้น Bollinger Bands กลับไม่บีบตัวเข้าหากัน ซึ่งหมายความว่าส่วนใหญ่แล้วอินดิเคเตอร์มักจะเคลื่อนที่ช้ากว่าราคาตลาดจริง

ทีนี้ลองมาดูช่วงระยะเวลาที่เส้น Bollinger Bands ขยายออกจากกันดูบ้าง

กราฟราคาคู่สกุลเงิน EUR/USD แสดงให้เห็นว่าเส้น Bollinger Bands มีการขยายออกจากกัน

ในกราฟราคาข้างต้นนี้ กล่องสีฟ้าจะแสดงเวลาที่เส้น Bollinger Bands มีการขยายออกจากกัน ในกรณีส่วนใหญ่แล้วพฤติกรรมราคามีการฝ่าทะลุแนวรับ-แนวต้านที่ตั้งไว้เมื่อมีความผันผวนมากขึ้น และเคลื่อนที่ไปในในทิศทางที่เป็นเทรนด์ระยะสั้น ซึ่งจะมีราคาบางจุดขยับขึ้นและขยับลง เมื่อทิศทางราคาตามเทรนด์เหล่านี้มีการขยับของราคาที่มากขึ้น การใช้เส้น Bollinger Bands ที่ขยายออกจากกันมากำหนดหลักเกณฑ์สำหรับกลยุทธ์และเทคนิคการเทรด Forex จะมีประโยชน์อย่างมาก

เนื่องจากเส้น Bollinger Bands เป็นตัววัดความผันผวนมากกว่าการบ่งบอกทิศทางของเทรนด์ เทรดเดอร์บางคนจึงมีการใส่ตัวค้นหาเทรนด์ (Trend filter) ลงไปในกลยุทธ์และเทคนิคการเทรด Forex ที่ใช้ Bollinger Bands ด้วย อย่างเช่นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว เป็นต้น เพราะเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หนึ่งจะแสดงราคาเฉลี่ยของแท่งกราฟราคาย้อนหลังจำนวนหนึ่ง ทำให้สามารถระบุทิศทางของราคาโดยรวมได้อย่างรวดเร็วซึ่งมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย เช่น

  • เกณฑ์ที่ 3: เปิดสถานะซื้อหรือ long เท่านั้นเมื่อราคาทะลุขึ้นไปเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โพเนเชียล 200 (200 EMA)
  • เกณฑ์ที่ 4: เปิดสถานะขายหรือ short เท่านั้นเมื่อราคาดิ่งลงไปต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โพเนเชียล 200 (200 EMA)

เส้นสีส้มในกราฟราคาด้านล่างเป็นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โพเนเชียล 200 (200 EMA) ซึ่งแสดงราคาเฉลี่ยของแท่งกราฟ 200 แท่งในช่วงที่ผ่านมา ในที่นี้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โพเนเชียลชี้ไปในแนวทแยงลง หมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้วราคามีการขยับลงไปเรื่อย ๆ ช่วยให้เรารู้ได้ทันทีว่าเทรนด์โดยรวมเป็นอย่างไร

ส่วนกล่องสีเขียวแสดงถึงช่วงระยะเวลาที่เส้น Bollinger Bands มีการขยายตัวออกจากกัน และราคาดิ่งลงทะลุแนวรับ-แนวต้านที่ตั้งไว้ ซึ่งลงไปต่ำกว่า Bollinger Band เส้นล่างเสียอีก โดยขยับไปในทิศทางของเส้นค่าเฉลี่ยนเคลื่อนที่ระยะยาว

กราฟราคาคู่สกุลเงิน EUR/USD แสดงให้เห็นว่าเส้น Bollinger Bands มีการขยายออกจากกัน และราคาดิ่งทะลุลงไปต่ำกว่าเส้นล่างในทิศทางของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โพเนเชียล 200 (200 EMA)

เมื่อหลักเกณฑ์เพิ่มเติมที่กำหนดขึ้นส่งผลให้ปริมาณของโอกาสในการเทรดลดน้อยลง ก็อาจสรุปได้ว่ากลยุทธ์การเทรดนั้นๆ มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยรวบรัดข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนของเทรดเดอร์ให้ตรงจุดมากขึ้น ในขั้นนี้เทรดเดอร์อาจจะเพิ่มหลักเกณฑ์เข้าไปอีกอย่างเช่นหลักเกณฑ์ระบุราคาเข้าตลาด, ราคาหยุดขาดทุน, ราคาเป้าหมาย และขนาดการเทรดเพื่อรวบรัดข้อมูลในการตัดสินใจลงทุนให้ตรงจุดยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับโอกาสในการเทรดใด ๆ ที่จะทำต่อไป

สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ Admirals มีบริการเทรด CFD ของคู่สกุลเงินมากกว่า 80 คู่ ทั้ง Forex คู่สกุลเงินหลัก, Forex คู่สกุลเงินรอง, Forex คู่สกุลเงินแปลกใหม่ และอื่น ๆ อีกมากมาย มาเปิดบัญชีเทรดจริงกับเราวันนี้ เพียงคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่าง

เปิดบัญชี Copy Trading

คัดลอกการซื้อขายจากเทรดเดอร์มืออาชีพ ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์การเล่นหุ้น

ตลาดหุ้นถือเป็นตลาดที่มีความเหมาะสมกับกลยุทธ์เกือบทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์สวิงเทรด, กลยุทธ์การเทรดแบบ Position, เทคนิคการเทรดตามเทรนด์, เทคนิคเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และกลยุทธ์การเทรดโดยดูพฤติกรรมตลาด เป็นต้น เนื่องจากนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนมักจะซื้อหุ้นบริษัทเพื่อถือในระยะยาว โดยมุ่งหวังว่าราคาหุ้นนั้นจะสูงขึ้น และเทรนด์สำหรับตลาดนี้ก็มักจะอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า

ทั้งเทรดเดอร์และนักลงทุนต่างก็มีการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งนั้น โดยใช้หลากหลายกลยุทธ์ที่กล่าวไว้ข้างต้นมาช่วย นักลงทุนมักจะเข้าซื้อหุ้นจริงของบริษัท แต่เทรดเดอร์มักจะเทรด CFD หุ้นโดยใช้การคาดคะเนทิศทางการขยับของราคาหุ้น (เก็งราคาหุ้น) ซึ่งมีข้อดีอยู่บางประการ อย่างเช่นสามารถเทรดด้วยสถานะ long หรือ short ได้

กลยุทธ์การเทรดแบบ Position ในหุ้น Netflix

แม้ว่าจะสามารถเทรดหุ้นจากบริษัทเป็นพัน ๆ บริษัทได้ก็ตาม แต่การเลือกเทรดแต่หุ้นของบริษัทที่คุณรู้จักดีและมีการใช้งานหรือใช้บริการของบริษัทนี้อยู่เป็นประจำอยู่แล้วน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด อย่างเช่นเทรดหุ้นของ Apple, Amazon, Facebook, Tesla หรือ Netflix เป็นต้น ถึงแม้ว่าเทรนด์ของหุ้นแต่ละตัวจะไม่เหมือนกัน แต่ก็มีส่วนที่เหมือนกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งทำให้สามารถนำกลยุทธ์การเล่นหุ้นเพียงกลยุทธ์เดียว อาทิเช่นกลยุทธ์การเทรดแบบ Position มาใช้เทรดหุ้นระดับโลกได้หลากหลายตัว

กราฟราคาหุ้นของ Netflix ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 ถึงปีพ.ศ. 2562 คำสงวนสิทธิ์: กราฟราคาของตราสารการเงินที่ปรากฏในบทความนี้ถูกใช้เพื่อแสดงตัวอย่างและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการเทรดหรือคำชักชวนให้ซื้อหรือขายตราสารการเงินใด ๆ โดย Admirals (CFD, ETF, หุ้น) ผลตอบแทนการลงทุนในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ในขณะที่กราฟราคาหุ้นด้านบนเป็นหุ้นของบริษัท Netflix แต่ก็อาจจะมีหุ้นตัวอื่นที่มีรูปแบบราคาเหมือนกันก็ได้ เนื่องจากเทรนด์ของราคาหุ้นของบริษัทหนึ่งๆ มักจะมีระยะเวลาค่อนข้างนาน (ในกรณีที่มีแรงซื้อสูง) ทำให้เทรดเดอร์หลายคนเลือกใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) มาช่วยทำกำไรในช่วงระยะเวลาของเทรนด์

หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA)ในกลยุทธ์การเล่นหุ้นก็คือมองหาจุดที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เร็วไปตัดกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช้าบริเวณเหนือราคาจริงหรือในทางตรงกันข้าม เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เร็วจะอ้างอิงจากมูลค่าราคาหุ้นย้อนหลังที่น้อยกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช้าซึ่งอ้างอิงจากมูลค่าหุ้นย้อนหลังที่มากกว่า โดยสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ได้ดังนี้

  • เกณฑ์ที่ 1: เปิดสถานะ long เมื่อเส้น 8 EMA ตัดกับเส้น 21 EMA เหนือราคาจริง
  • เกณฑ์ที่ 2: เปิดสถานะ short เมื่อเส้น 8 EMA ตัดกับเส้น 21 EMA ด้านล่างราคาจริง

ในกรณีนี้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เร็วคือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ 8 วัน ส่วนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช้าคือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ 21 วัน ตัวเลขทั้งสองตัวนี้เป็นตัวเลขฟิโบนัชชี (Fibonacci numbers) ซึ่งนิยมใช้กันอย่างมากในการซื้อขายตลาดการเงิน ลองมาดูกันสักนิดว่าค่าดังกล่าวมีรูปร่างเป็นอย่างไรในกราฟราคาหุ้น Netflix

กราฟราคาหุ้น Netflix ที่ใส่เส้น 8 EMA (เส้นสีน้ำเงิน) และเส้น 21 EMA (เส้นสีเหลือง) ลงไป

ในกราฟราคาด้านบน จะเห็นได้ว่ามีการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เหนือราคาจริงอยู่หลายครั้งด้วยกัน ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง ในบางกรณีราคาจะเป็นไปในทิศทางของเทรนด์อยู่ระยะหนึ่ง แต่ในบางกรณีราคาก็อาจจะเปลี่ยนไปในทิศทางตรงกันข้ามก็ได้ ลองดูมาดูจุดตัดของเส้น EMA เพื่อจะได้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น

กราฟราคาหุ้น Netflix ที่แสดงจุดตัดของเส้น 8 EMA (เส้นสีน้ำเงิน) กับเส้น 21 EMA (เส้นสีเหลือง)

เส้นแนวตั้งสีแดงแสดงจุดที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เร็วไปตัดกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช้าที่ด้านล่างราคาจริง ส่วนเส้นแนวตั้งสีเขียวแสดงจุดที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เร็วไปตัดกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช้าเหนือราคาจริง แล้วสิ่งเหล่านี้สามารถบอกอะไรเราได้บ้าง

  • ช่วงเวลาที่เส้น 8 EMA ตัดกับเส้น 21 EMA ด้านล่างราคาจริงนั้นเกิดขึ้นทั้งหมด 5 ครั้ง โดยมีเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้นที่ราคาตลาดเป็นไปตามเทรนด์ตลาดขาลงเป็นระยะเวลานาน ข้อสังเกตหนึ่งของจุดตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ก็คือมันอาจทำให้คุณเข้าตลาดช้าเกินไป และอาจส่งสัญญาณผิดได้
  • ช่วงเวลาที่เส้น 8 EMA ตัดกับเส้น 21 EMA เหนือราคาจริงนั้นเกิดขึ้นทั้งหมด 5 ครั้ง โดยราคาตลาดเป็นไปตามเทรนด์ตลาดขาขึ้นเกือบตลอดเวลา ในกรณีเช่นนี้แหละที่เทรดเดอร์จะพยายามทำกำไรให้มากขึ้นจากเงินลงทุน

จุดตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการวางกลยุทธ์เทคนิคการเทรดแบบ Position ที่มีความเหมาะสมกับเทคนิคการเล่นหุ้นแบบตามเทรนด์ แม้ว่าจะมีการวางจุดหยุดขาดทุนและจุดทำกำไรอย่างรอบคอบแล้วก็ตาม แต่ก็ควรทำความเข้าใจไว้ด้วยว่าเทคนิคการเทรดประเภทนี้มักจะมีการเทรดเสียมากกว่าเทรดได้กำไร ซึ่งเป้าหมายของเทคนิคการเทรดแบบนี้ก็คือการเทรดที่กำไรได้เป็นหลาย ๆ เท่าของเงินลงทุนนั่นเอง

ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือต้องใช้เทคนิคบริหารความเสี่ยงที่ดีเพื่อควบคุมความเสี่ยงต่อหนึ่งเทรดให้ต่ำ ทำให้ไม่เสียเงินลงทุนมากเกินไปเมื่อมีการเทรดเสียหลาย ๆ ครั้งก่อนที่จะเทรดได้กำไรครั้งใหญ่สักครั้งหนึ่ง

กลยุทธ์การเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ 

การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ เงิน และน้ำมัน เป็นที่นิยมในหมู่เทรดเดอร์ เนื่องจากมักจะมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางเดียวกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ตลาดทั้งหมดต้องผ่านสภาวะตลาดที่แตกต่างกันในบางจุด อย่างไรก็ตาม ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ได้รับผลกระทบอย่างมากจากปัญหาด้านอุปสงค์และอุปทานที่เกิดจากรูปแบบสภาพอากาศ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ

Tกลยุทธ์ที่มีแนวโน้มจะเหมาะสำหรับการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ คือ กลยุทธ์การเทรดแบบ swing trading กลยุทธ์การเทรดตามฤดูกาล (seasonal trading) และกลยุทธ์การเทรดตามตำแหน่ง (position trading) ซึ่งเทรดเดอร์สามารถเลือกผสมการซื้อขายแบบ swing trading และการซื้อขายระหว่างวัน (day trading) เข้าด้วยกันเพื่อซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งมาก ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้กรอบเวลาที่ต่ำกว่า เช่น กราฟ 4H มาใช้ในการหาโอกาสเข้าเทรดตามเทรนด์

ตัวอย่างกลยุทธ์การเทรดน้ำมันดิบ 

อินดิเคเตอร์ MACD และ RSI เป็นอินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมในการช่วยหาตลาดที่กำลังเป็นเทรนด์, ตลาดที่กำลังจะมีการเปลี่ยนทิศทาง และสภาวะตลาดที่มีสัญญาณซื้อมากเกินไปหรือสัญญาณขายมากเกินไป และต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของอินดิเคเตอร์ทั้งสองตัวบนกราฟราคา 4 ชั่วโมงของน้ำมันดิบ Brent

กราฟราคา 4 ชั่วโมงของน้ำมันดิบ Brent ที่มีการใส่อินดิเคเตอร์ MACD และ RSI คำสงวนสิทธิ์: กราฟราคาของตราสารการเงินที่ปรากฏในบทความนี้ถูกใช้เพื่อแสดงตัวอย่างและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการเทรดหรือคำชักชวนให้ซื้อหรือขายตราสารการเงินใด ๆ โดย Admirals (CFD, ETF, หุ้น) ผลตอบแทนการลงทุนในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ กราฟราคาดังกล่าวอาจดูเหมือนไม่ได้มีแบบแผนแน่นอนและดูค่อนข้างสับสน ทำให้การใช้เทคนิคการเทรดนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันสามารถช่วยเทรดเดอร์ในการรวบรัดข้อมูลให้ตรงจุดเพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุน ดังนั้นเรามาลองกำหนดหลักเกณฑ์กันเพื่อดูว่ากราฟราคาบอกอะไรเราบ้าง

  • เกณฑ์ที่ 1: เปิดสถานะ long เมื่อเส้น MACD ทะลุขึ้นไปเหนือเส้น zero line
  • เกณฑ์ที่ 2: เปิดสถานะ short เมื่อเส้น MACD ดิ่งลงไปต่ำกว่าเส้น zero line

หลักๆ แล้ว เส้น MACD จะทำหน้าที่เป็นตัวค้นหาเทรนด์ (trend filter) เพื่อแสดง Directional bias ให้กับเทรดเดอร์ ขั้นตอนต่อไปก็คือมองหาสัญญาณของสภาวะซื้อมากเกินไปหรือสภาวะขายมากเกินไป เพราะนี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าเทรด โดยเราสามารถใช้ RSI (ตั้งค่า 4 วัน) มาช่วยกำหนดหลักเกณฑ์ได้ดังนี้

  • เกณฑ์ที่ 3: เปิดสถานะ long เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่า 30 (เส้นสีดำเส้นล่างในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ RSI)
  • เกณฑ์ที่ 4: เปิดสถานะ short เมื่อเส้น RSI อยู่สูงกว่า 30 (เส้นสีดำเส้นบนในหน้าต่างอินดิเคเตอร์ RSI)

เทรดเดอร์สามารถใส่หลักเกณฑ์เพิ่มเติมสำหรับระดับราคาที่จะเข้าเทรดและระดับราคาหยุดขาดทุนอย่างเฉพาะเจาะจงแบบใดแบบหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ใส่หลักเกณฑ์เพิ่มเติมเข้าไปเพื่อหารูปแบบพฤติกรรมราคาอย่าง hammer และ shooting star ก็จะช่วยให้เทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เทรดเดอร์บางคนอาจจะลองใช้อินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ เช่น Average True Range (ATR) เพื่อใช้หาระดับราคาที่จะหยุดขาดทุน ทีนี้เรามาลองดูบริเวณที่เกิดรูปแบบราคาตามหลักเกณฑ์ทั้ง 4 ที่ได้กำหนดไว้ข้างต้น

กราฟราคา 4 ชั่วโมงของน้ำมันดิบ Brent ที่ใส่อินดิเคเตอร์ MACD และ RSI ลงไปพร้อมตัวอย่างการเทรด

ในกราฟราคาด้านบน กล่องสีเขียวแสดงถึงการเกิดรูปแบบราคาในเกณฑ์ที่ 1 และเกณฑ์ที่ 3 คือเส้น MACD อยู่เหนือเส้น zero-line และเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 70 ส่วนกล่องสีแดงแสดงถึงการเกิดรูปแบบราคาในเกณฑ์ที่ 2 และเกณฑ์ที่ 4 คือเส้น MACD อยู่ต่ำกว่าเส้น zero-line และเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 30

จุดสำคัญคือหลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้จะเหมาะมากกับตลาดที่มีแนวโน้มเทรนด์แข็งแรงมาก ๆ (มีความผันผวนน้อย) อย่างเช่นกราฟราคา 4 ชั่วโมงที่แสดงอยู่ด้านบน การใส่หลักเกณฑ์เพิ่มเติมลงไปนั้นจะช่วยในการเทรดได้มากขึ้น อย่างเช่นการใส่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลงไปเพื่อระบุหาทิศทางของราคาที่จะเกิดขึ้นต่อไป อย่างไรก็ดีการเทรดเสียนั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วถ้าหากทิศทางตลาดหรือสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการใช้จุดหยุดขาดทุนและมีเทคนิคการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

แพลตฟอร์มที่มีสินทรัพย์ให้ลงทุนอย่างหลากหลาย

กลยุทธ์การเทรดดัชนี (Index Trading)

การเทรดดัชนีนั้นเป็นที่ชื่นชอบทั้งในหมู่เทรดเดอร์ที่เทรดระยะสั้นและเทรดเดอร์ที่เทรดระยะยาวเนื่องจากตลาดดัชนีจะมีสภาวะเป็นเทรนด์แข็งแรง (มีความผันผวนน้อย) ทั้งในกรอบระยะเวลาที่น้อยลงหรือกรอบระยะเวลาที่มากขึ้น ซึ่งทำให้เทคนิคการเทรดดัชนีมักจะมีทั้งกลยุทธ์เทคนิคการเทรดแบบเดย์เทรด, เทคนิคการเทรดแบบสวิงเทรด, เทคนิคการเทรดแบบ Position, เทคนิคการเทรดตามฤดูกาล หรือแม้แต่เทคนิคการเทรดแบบ Hedging ด้วย

เนื่องจากดัชนีระดับโลกนั้นดึงดูดเทรดเดอร์ทุกประเภท ทำให้อินดิเคเตอร์อย่างเช่น RSI, MACD Oscillator, Stochastic Oscillator และ Bollinger Bands ล้วนแต่มีประสิทธิภาพในการเทรดทั้งสิ้นหากใช้ในสภาวะตลาดที่เหมาะสม

แม้ว่าคุณจะสามารถเทรดดัชนีหุ้นระดับโลกต่าง ๆ ได้ถึง 19 ตัว แต่เทรดเดอร์ที่เทรดแบบระยะสั้นก็ยังเลือกที่จะเน้นไปที่ดัชนีหลัก ๆ ของโลกมากกว่า ประกอบด้วย DAX40, FTSE100, SP500, NQ100, DJI30 และ JP225 ซึ่งถือเป็นดัชนีหลักจากยุโรป, เอเชีย และสหรัฐอเมริกา เราลองมาดูกลยุทธ์เทคนิคการเทรดดัชนี DAX40 โดยใช้เทคนิคเดย์เทรดกัน

กลยุทธ์การเทรดดัชนี DAX40

ในขณะที่เทรดเดอร์บางคนชอบเทรดหุ้นแบบเดย์เทรด แต่ก็ยังมีหลายคนที่ชอบใช้เทคนิคเดย์เทรดในดัชนีตลาดหุ้นด้วยเนื่องจากมีค่าสเปรดและค่าคอมมิชชั่นต่ำ อย่างที่ Admirals เราก็มีให้บริการเทรด CFD ดัชนี DAX40 ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีค่าคอมมิชชั่นและยังมีค่าสเปรดต่ำด้วยการเทรดบนแพลตฟอร์มเทรดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

เมื่อจะเทรด CFD ของดัชนี DAX40 แบบเดย์เทรด สิ่งสำคัญที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือการทำเดย์เทรดนั้นจะต้องมีการซื้อขายหรือเทรดหลาย ๆ ครั้งต่อวัน เนื่องจากปริมาณความถี่ในการเทรดยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสเทรดได้กำไรมากเท่านั้น แต่โอกาสเทรดเสียก็มากไม่แพ้กัน ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาดในการใช้กลยุทธ์เทคนิคการเทรด ทีนี้เราจะมากล่าวถึงอินดิเคเตอร์และเทคนิคบางตัวที่เราได้ใช้ในกลยุทธ์เทคนิคการเทรดต่าง ๆ ที่เราได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ไป ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการเทรดดัชนี DAX40 ได้เช่นกัน

กราฟราคา 5 นาทีของ CFD ดัชนี DAX40 ที่ใส่อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands , MACD และ 50 EMA เข้าไป คำสงวนสิทธิ์: กราฟราคาของตราสารการเงินที่ปรากฏในบทความนี้ถูกใช้เพื่อแสดงตัวอย่างและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการเทรดหรือคำชักชวนให้ซื้อหรือขายตราสารการเงินใด ๆ โดย Admirals (CFD, ETF, หุ้น) ผลตอบแทนการลงทุนในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

กราฟราคาข้างบนนี้แสดงกราฟราคาระยะเวลา 5 นาทีของ CFD ดัชนี DAX40 จากช่วงระยะเวลาหนึ่ง การใช้อินดิเคเตอร์หลาย ๆ ตัวแบบนี้จะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุเทรนด์ของตลาดได้ รวมถึงยังช่วยหาจุดเข้าเทรดได้อีกด้วย เช่น

  • เกณฑ์ที่ 1: เปิดสถานะ long เมื่อราคาทะลุขึ้นไปสูงกว่าเส้น 50 EMA + เส้น MACD ทะลุขึ้นไปเหนือเส้น zero line + ราคาดีดกลับขึ้นไปจาก Bollinger Band เส้นล่าง
  • เกณฑ์ที่ 2: เปิดสถานะ short เมื่อราคาร่วงลงไปต่ำกว่าเส้น 50 EMA + เส้น MACD ลงไปอยู่ต่ำกว่าเส้น zero line + ราคาดีดกลับลงมาจาก Bollinger Band เส้นบน

กราฟราคาด้านล่างนี้แสดงให้เห็นถึงสภาวะตลาดที่เกิดขึ้นในเกณฑ์ที่ 1 และเกณฑ์ที่ 2

กราฟราคา 5 นาทีของ CFD ดัชนี DAX40 ที่ใส่อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands, MACD, 50 EMA และตัวอย่างการเทรด

จากกราฟนี้ เราจะมองเห็นความผันผวนของราคาได้อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของกราฟราคาได้อย่างชัดเจน การผนวกเอาทั้งเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กโพเนนเชียลและเส้น MACD เข้ามาใช้ช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงสภาวะตลาดผันผวนได้ ดังเช่นที่เกิดในกราฟราคาข้างต้น

ในช่วงกลางของกราฟราคา จะเห็นได้ว่าราคาเริ่มทรงตัว และเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โพเนนเชียลกับเส้น MACD นั้นเข้ามาช่วยในการบ่งชี้จังหวะที่สามารถเข้าเทรดได้ 3 จุดด้วยกันในกล่องสีแดง ในขณะที่ราคาในกล่องสีแดงกล่องแรกนั้นเคลื่อนที่จาก Bollinger Band เส้นบนลงไปหา Bollinger Band เส้นล่าง (ซึ่งถือเป็นทิศทางราคาที่เก็งไว้เมื่อเทรด short) ส่วนในกล่องสีแดงที่สองและสามนั้น ราคาไม่ได้เคลื่อนเข้าหา Bollinger Band เส้นล่าง แต่กลับทะลุ Bollinger Band เส้นบนขึ้นไป จึงอาจคาดการณ์ได้ว่าจะมีการเทรดเสีย 2 ครั้งติดๆ กัน

ส่วนในตอนท้ายของกราฟราคา จะเห็นว่ากราฟราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เอ็กซ์โพเนนเชียลและเส้น MACD ส่งสัญญาณการเทรด long การตัดสินใจเทรดเมื่อราคามีการเด้งกลับขึ้นมาจาก Bollinger Band เส้นล่างทำให้มีจังหวะที่สามารถเข้าเทรดได้ 2 จุด และมีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นไปจนถึง Bollinger Band เส้นบน (ซึ่งถือเป็นทิศทางราคาที่เก็งไว้เมื่อเทรด long)

เทรดบัญชีทดลองโดยปราศจากความเสี่ยง

ฝึกฝนการเทรดด้วยเงินจำลองฟรี

สรุปกลยุทธ์และเทคนิคการเทรดสำหรับปี 2024

ในบทความนี้ เราได้เรียนรู้กลยุทธ์เทคนิคการเทรดประเภทต่าง ๆ มากมายหลายประเภท และวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้เอาทฤษฎีเหล่านี้ไปใช้จริงได้ก็คือการทดลองเทรดแบบไร้ความเสี่ยงซึ่งคุณสามารถฝึกทักษะการเทรด, ปรับกลยุทธ์เทคนิคการเทรดของคุณ รวมถึงเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตนระหว่างเทรด

เริ่มทดลองเทรดแบบไร้ความเสี่ยงได้เลย ง่ายนิดเดียว เพียงแค่ไม่กี่คลิก คุณก็เปิดบัญชีทดลองเทรดได้แล้ว หลังจากนั้นก็แค่กรอกชื่อและอีเมลของคุณลงไป เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเพลิดเพลินไปกับประโยชน์ต่าง ๆ เช่น

  • เทรดบนอุปกรณ์ใดก็ได้ (Windows, Mac, Android, iOS ฯลฯ) โดยสามารถเทรดตราสารการเงินได้มากกว่า 8,000 รายการ
  • สัมผัสประสบการณ์การเทรดจริงอย่างเต็มรูปแบบด้วยแพลตฟอร์มเทรดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก
  • เข้าถึงข้อมูลตลาดและข่าวแบบเรียลไทม์ฟรี
  • ใช้งานได้ฟรี 30 วัน หรือเปิดบัญชีเทรดจริงเพื่อใช้งานได้ตลอดชีพ

เมื่อคุณสามารถเข้าใช้งานได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ก็น่าจะถึงเวลาที่คุณจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมการเทรดแล้วรึยัง เปิดบัญชีทดลองเทรดฟรีได้เลยวันนี้ เพียงคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่าง

คำถามที่พบบ่อยในการเลือกใช้กลยุทธ์การเทรด

กลยุทธ์การซื้อขายที่ดีที่สุดในคืออะไร?

กลยุทธ์การซื้อขายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือกลยุทธ์การซื้อขายแบบ swing trading สำหรับผู้เริ่มต้นและกลยุทธ์การซื้อขายรายวัน (day trading) สำหรับเทรดเดอร์มือโปร 

 

การเทรด 5 ประเภทคืออะไร?

การเทรด 5 ประเภท ได้แก่ day trading, swing trading, algorithmic trading, positional trading และalgorithmic trading

บทความอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ

รู้จักกับ Admirals

Admirals คือ โบรกเกอร์ที่ได้รับรางวัลมากมาย รวมทั้งได้รับใบอนุญาตและการกำกับดูแลจากหลากหลายองค์กรทั่วโลก โดยให้บริการซื้อขายตราสารทางการเงินมากกว่า 8,000 รายการ ผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก อย่าง MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 เพื่อให้คุณลงทุนใน Forex และ CFD ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนใจการลงทุน สามารถเริ่มซื้อขายได้ตั้งแต่วันนี้!

บทความนี้ไม่มีและไม่ควรตีความว่ามีคำแนะนำในการลงทุน ข้อเสนอ หรือการชักชวนสำหรับธุรกรรมใดๆ ในเครื่องมือทางการเงิน โปรดทราบว่าการวิเคราะห์การซื้อขายด้านบน ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับทั้งในปัจจุบันหรือในอนาคต เนื่องจากสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คุณควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

TOP ARTICLES
แนวรับ แนวต้าน ในการเทรด Forex หุ้น ทองคำ และ Indicator แนวรับแนวต้าน ที่คุณต้องรู้จัก!
แนวรับ แนวต้าน เครื่องมือสำคัญในการเทรด Forex และยังถือเป็นพื้นฐานหลักในการเทรดและการวิเคราะห์ตลาดการเงินอื่นๆ ด้วย โดยวิธีดูแนวรับแนวต้านหรือเครื่องมือหาแนวรับแนวต้านนี้จะใช้ Indicator แนวรับแนวต้าน หรือที่เราเรียกกันว่าตัวบ่งชี้แนวรับและแนวต้าน เป็นเครื่องมือสำคัญในการซื้อขาย Forex และ CFD ซึ่งบทค...
Scalping คือ ? พร้อมเทคนิค Scalping ใน 1 นาที ฉบับใช้ได้จริง!
Scalping คือ ? ถึงแม้ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มหัดเทรดใหม่ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเคยได้ยินคำว่า 'scalping' มาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาแนะแนวความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคนิคการเทรด Forex ระยะสั้นหรือที่เรียกกันว่า 'Scalping Forex' รวมทั้งสอนกลยุทธ์และเทคนิคต่างๆ ในการเทรดแบบ Scalping ด้วย ในที...
Carry Trade คือ ? : กลยุทธ์ Carry Trade (แครี่เทรด) ทำอย่างไร
Carry Trade คือ ? คุณรู้หรือไม่ว่า Carry Trade คือหนึ่งในกลยุทธ์การเทรดที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งถูกพัฒนาโดยผู้บริหารกองทุนระดับแถวหน้า มันเป็นการซื้อและขายสกุลเงิน 2 สกุลเงินที่แตกต่างกัน โดยผู้ที่จะสามารถใช้กลยุทธ์ดังกล่าวได้ ต้องเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงสินทรัพย์ทางการเงินได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ต้องขอบ...
ดูทั้งหมด