หุ้นเอเชียและน้ำมันดิบไต่ระดับขึ้น ขณะที่ S&P 500 และ Nasdaq ร่วงลง
ถึงแม้ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากจีนจะระบุว่ากิจกรรมในโรงงานจะลดลงในอัตราที่เร็วกว่าที่คาดไว้ในเดือนพฤศจิกายน แต่หุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นในวันพุธ จากการเก็งกำไรในคาดการณ์ที่ว่าจีนตั้งใจจะกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง
ด้านดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง เมื่อวานนี้มีการเพิ่มขึ้นที่ 5.24% พร้อมปิดเซสชันเป็นบวกอีกครั้ง หลังปิดเพิ่มขึ้นที่ 2.16% ทำให้เดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นมากกว่า 26% นอกจากนี้ น้ำมันดิบ Crude oil ยังคงได้รับประโยชน์จากความคาดหวังในการผ่อนปรนข้อจำกัดของโควิดของจีน ทำให้ทั้ง Brent และ WTI ขยับขึ้นในเช้าวันนี้
ส่วนที่ Wall Street เมื่อวานนี้ หุ้นจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ จำนวนมากยังคงเป็นบวก โดยทั้ง Alibaba และ JD.com ต่างทะยานขึ้นถึง 5.25% และ 6.69% ตามลำดับ
ส่วน S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดลดลง โดย S&P 500 ลดลง 0.16% และ Nasdaq ลดลงที่ 0.59% ในขณะที่ Dow Jones ปิดตลาดทรงตัว เพิ่มขึ้น 0.01%
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกระหว่าง S&P 500 และ Nasdaq ซึ่งเป็นประกอบด้วยเทคโนโลยีรุ่นใหญ่อย่าง Alphabet, Tesla และ Amazon ต่างขาดทุนไปพร้อมๆ กันที่ 0.90%, 1.14% และ 1.63% ตามลำดับ แต่ที่หนักที่สุดคือ Apple ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้นก็ปิดเซสชั่นลดลงถึง 2.11% ทำให้ขาดทุนทั้ง 3 เซสชั่นล่าสุด โดยเหลือเพียง 6.55%
กล่าวได้ว่า ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของ Apple นั้นผลิตในจีนทำให้ราคาหุ้น Apple ได้รับแรงกดดันจากความกังวลด้านอุปทาน จากมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดและความไม่สงบทางสังคมในประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่สินทรัพย์จำนวนมากได้รับอานิสงส์เมื่อวานนี้จากการเก็งกำไรในการผ่อนคลายนโยบายปลอดโควิดของจีน การลดลงของ Apple จึงเป็นการสะท้อนถึงความกังวลถึงความเสียหายอาจเกิดขึ้นนั่นเอง
และเมื่อวานนี้ Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ของ TFI Asset Management ได้รายงานการคาดการณ์ว่า ยอดจัดส่ง iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ทั้งหมดในช่วงไตรมาสปัจจุบันอาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 15-20 ล้านเครื่อง จากการจัดส่งที่ลดลงตามคาดการณ์ จากสาเหตุหลักที่มาจากการประท้วงของพนักงานในโรงงาน Xhengzou iPhone เมื่อเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ Kuo ยังรายงานอีกว่า ยอดขายที่พลาดไปเหล่านี้อาจไม่จบที่การเลื่อนส่ง แต่อาจเป็นการยกเลิกคำสั่งซื้อแทนในระหว่างที่อุปทานฟื้นตัว และหากการคาดคการณ์นี้ถูกต้อง ก็อาจส่งผลกระทบครั้งใหญ่ในรายรับของ Apple ที่แม้ว่าจะยังคงแข็งแกร่งไว้ได้ก็ตาม
นี่จึงเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมหุ้น Apple จึงลดลงในเซสชันล่าสุด แล้วคุณคิดว่าความคิดเห็นต่อการคาดการณ์ของเหล่าผู้ถือหุ้นของ Apple จะเป็นอย่างไร ?
ภาพรวมในหุ้น Apple
Year to date (YTD) หรือช่วงเวลาตั้งแต่วันทำการแรกของปีหรือรอบบัญชีจนถึงวันปัจจุบันของ Apple นั้นลดลงถึง 20% แต่ก็นับว่าน้อยกว่าการสูญเสียที่เกิดจากเทคโนโลยีรุ่นใหญ่อื่นๆ อย่าง Alphabet, Amazon, Tesla และ Meta ที่ลดลง 34%, 45%, 49% และ 67% ตามลำดับในช่วงเวลาเดียวกัน
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ Apple สามารถฝ่าฟันมรสุมเศรษฐกิจล่าสุดได้ดีกว่าคู่แข่ง คือ ความแข็งแกร่งทางการเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนชื่นชมมากในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนนี้ จากการที่ Apple สามารถสร้างรายได้ที่น่าเชื่อถือ จากเสถียรภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้บริโภค ที่เมื่อเข้าสู่ระบบนิเวศของ Apple แล้ว ก็มักจะกลายเป็นลูกค้ารอยัลตี้ที่ต้องการใช้อุปกรณ์ของ Apple ให้ครบและต่อเนื่อง เพื่อประสบการณ์ปลอดภัยและเชื่อใจได้ จึงทำให้อุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่ออกมานั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น
โดยในไตรมาสล่าสุด Apple รายงานรายได้สุทธิที่ 20,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้ยอดรวม 12 เดือนเพิ่มขึ้นเกือบ 100,000 ล้านดอลลาร์ (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2022) บริษัทจึงมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดมากกว่า 48 พันล้านดอลลาร์ บวกกับหลักทรัพย์ไม่หมุนเวียน (non-current marketable securities) อีกกว่า 121 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ต้องระวังแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน แต่นักลงทุนควรระมัดระวังต่อแรงต้านที่อาจเกิดขึ้นด้วย เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะเกิดความผันผวนต่อไปอีกในระยะสั้น นอกจากนี้ แม้ว่า Pandemic อาจจะยุติลงในบางพื้นที่ และแม้การผลิตอาจกลับมาเป็นปกติ แต่ปัญหาด้านอุปทานในปัจจุบันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า Apple กับจีนนั้นอยู่ในภาวะพึ่งพึงกันมากขนาดไหน
เปิดบัญชีลงทุนกับ Admiral Markets
ด้วยบัญชี Invest.MT5 จาก Admiral Markets คุณสามารถซื้อหุ้น Apple และหุ้นบริษัทอื่นๆ กว่า 3,000 แห่งจากทั่วโลก ลงทะเบียนบัญชีฟรีได้แล้ววันนี้ คลิกแบนเนอร์ด้านล่างได้เลย!
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรตีความว่ามีคำแนะนำในการลงทุน ข้อเสนอ หรือการชักชวนสำหรับธุรกรรมใดๆ ในเครื่องมือทางการเงิน โปรดทราบว่าการวิเคราะห์การซื้อขายด้านบน ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับทั้งในปัจจุบันหรือในอนาคต เนื่องจากสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คุณควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
