จับตายอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ
ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ รวมทั้งรายงานอัตราเงินเฟ้อของแคนาดาและออสเตรเลีย จะเป็นหนึ่งในข้อมูลที่สำคัญของวันนี้และวันพรุ่งนี้ที่เหล่านักวิเคราะห์ตลาดแนะนำว่า การตัวเลขคำสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ตกต่ำในอาจส่งผลต่อมูลค่าของ USD เมื่อเทียบกับคู่สกุลเงินอื่นๆ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานของในช่วงเช้าวันนี้ไว้ว่า กำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในยุโรปในช่วงสองปีที่ผ่านมา ส่วนในสหราชอาณาจักร นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Economics แนะนำว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BoE อาจผลักดันให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในสิ้นปี 2023
ส่วนข่าวในจีน นายกรัฐมนตรีจีน Li Qiang กล่าวว่าจีนยังอยู่ในเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายการเติบโตประจำปีที่ประมาณ 5% โดยเสริมว่าการเติบโตในไตรมาสที่ 2 จะเร็วกว่าในไตรมาสแรก อ้างอิงจากรายงานของ CNBC
แนวโน้มที่ลดลงของยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค.
ในวันอังคารนี้ สำนักสถิติของสหรัฐฯ มีกำหนดการประกาศยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (สินค้าที่สามารถคงอยู่ได้นานกว่า 3 ปี) ประจำเดือนพฤษภาคม ซึ่งนักวิเคราะห์ตลาดคาดว่าคำสั่งซื้อจะลดลงที่ 1% (ลดลงจากในเดือนเมษายนที่มีการเพิ่มขึ้น 1.1%)
ซึ่งตัวเลขการสั่งซื้อสินค้าคงทนนี้ถือเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของสภาพเศรษฐกิจ และการที่ตัวเลข ISM Manufacturing Index (PMI) ที่หดตัวอย่างอย่างต่อเนื่องติดต่อกันถึง 7 เดือน ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงนี้ได้ส่งผลให้อุปสงค์ในการใช้จ่ายด้านทุนลดลง
ดัชนี CPI ในเดือนพ.ค. ของแคนาดาจะลดลงไหม ?
BoC และสำนักสถิติแคนาดาจะเผยแพร่ข้อมูลเงินเฟ้อในวันนี้เช่นกัน โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม เมื่อเทียบรายปี จะอยู่ที่ 3.4% ซึ่งลดลงจาก 4.4% ในเดือนเมษายน แต่รายงานจาก BoC และสำนักสถิติแสดงให้เห็นว่าตัวเลขดัชนี CPI เมื่อเทียบเป็นรายเดือน อาจเพิ่มขึ้นที่ 0.5%
แม้ว่านักวิเคราะห์จาก Bank of Montreal (BMO) จะคาดการณ์ว่าจะมีข่าวดีที่อัตราเงินเฟ้อลดลง แต่จะไม่ได้ทำให้ BoC กังวลน้อยลง จากการที่ BoC กลับมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเงินอีกครั้งในเดือนที่แล้ว (ขึ้นอัตราดอกเบี้ย) นับเป็นธนาคารกลางแห่งแรกๆ ที่ประกาศจะประเมินกลยุทธ์ใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง และคณะกรรมการของ BoC ก็อาจประกาศการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 12 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้
ดัชนี CPI ประจำเดือนของออสเตรเลีย
และในเช้าวันพุธที่จะถึงนี้ สำนักงานสถิติแห่งออสเตรเลีย (ABS) จะประกาศอัตราเงินเฟ้อ CPI ประจำเดือนพฤษภาคม ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป เมื่อเทียบเป็นรายเดือน จะอยู่ที่ 0.2% ซึ่งหมายความว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปประจำปีจะลดลงเหลือ 6.3% จาก 6.8%
นักวิเคราะห์ของ ING แสดงความคิดเห็นความเห็นเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อของออสเตรเลียและนโยบายของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ไว้ว่า “ตามคำแนะนำจากรายงานการประชุมของ RBA ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ซึ่งตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างสมดุล ทำให้อัตราเงินเฟ้อมีการที่ปรับตัวดีขึ้น จึงเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าธนาคารอาจหยุดการขึ้นอัตรดอกเบี้ยชั่วคราวในเดือนกรกฎาคม”
Ifo ชี้การทำธุรกิจในเยอรมนีมีแนวโน้มลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2
ดัชนีบรรยากาศทางธุรกิจในเดือนมิถุนายน ของ Ifo Institute ลดลงเหลือ 88.5 ซึ่งลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 91.5 โดยมีคาดการณ์สนับสนุนจากโพลของนักวิเคราะห์จาก Reuters ที่คาดการณ์ว่าจะลดลงถึง 90.7 ซึ่งประธาน Ifo กล่าวถึงตัวเลขนี้ว่า "ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของเยอรมนีไม่สดใสอย่างเห็นได้ชัดเจน" ในขณะที่นักวิเคราะห์อื่นๆ ที่ทำงานให้กับสถาบันของเยอรมันระบุว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงทำให้อุปสงค์และความคาดหวังในอุตสาหกรรมการส่งออกของลดลงอย่างมาก
โดยรายงานรายเดือนล่าสุดของ Deutsche Bundesbank หรือธนาคารกลางของเยอรมนีได้คาดการณ์ไว้ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจสิ้นสุดลงในไม่ช้า เนื่องจาก GDP จะ “เพิ่มขึ้นเล็กน้อย” ในไตรมาสที่ 2 หลังจากที่หดตัวในเดือนตุลาคม-ธันวาคม และมกราคม-มีนาคม ซึ่งธนาคารกลางเยอรมันได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะหดตัว 0.3% ตามด้วยการฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 1.2% ในปี 2024 และ 1.3% ในปี 2025
เทรดข่าวเศรษฐกิจมหภาคน่าสนใจไหม? หากคำตอบคือใช่ และอยากเรียนรู้เพิ่มเติม เรามีคำตอบให้คุณ กับสัมนาการเทรดออนไลน์ ฟรี ที่คุณจะได้พบกับเซสชั่นที่หลากหลายพร้อมพบปะพูดคุยกับเหล่าเทรดเดอร์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมศึกษาวิธีการและกลยุทธ์ที่น่าสนใจในไลฟ์สดที่จะมาสาธิตวิธีการต่างๆ เพื่อคุณโดยเฉพาะ!
บทความนี้ไม่มีและไม่ควรตีความว่ามีคำแนะนำในการลงทุน ข้อเสนอ หรือการชักชวนสำหรับธุรกรรมใดๆ ในเครื่องมือทางการเงิน โปรดทราบว่าการวิเคราะห์การซื้อขายด้านบน ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับทั้งในปัจจุบันหรือในอนาคต เนื่องจากสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คุณควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
