ตลาดการเงินที่ไม่มีความเคลื่อนไหว ทำให้นักลงทุนจับตาข้อมูลเงินเฟ้อ
2 สัปดาห์ที่ผ่านมาสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจแห่งสหรัฐอเมริกา (BEA) ประกาศการเติบโตติดลบเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน แต่ก็ยังไม่ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวนี้เป็นภาวะถดถอย
ดังนั้น ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่ข่าวการประกาศอัตราการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payroll) ในวันศุกร์ที่แล้ว และหากข้อมูลงานของเดือนกรกฎาคมแย่กว่าที่คาด BEA ก็อาจต้องประเมินจุดยืนใหม่
และอัตราการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่มีการประกาศออกมาก็ปรับเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ค. โดยมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 528,000 ตำแหน่ง จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 250,000 ตำแหน่ง ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดนี้ทำให้ BEA เกิดความเชื่อมั่น และคลายความกังวลจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นที่อาจทำให้อุปสงค์ของแรงงานในสหรัฐฯ อ่อนตัวลง
จากรายงานการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในเเดือน ก.ค. นี้ ได้ส่งผลให้เกิดความคาดหวังว่าเฟด (Fed) จะเดินหน้ารับมือกับเงินเฟ้ออย่างจริงจัง โดยนักลงทุนต่างก็รอตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดในวันพุธที่จะถึงนี้เพื่อบ่งชี้ความเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของเฟด รวมทั้งเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐฯ
ต่อจากนั้น แม้ว่า Wall Street จะเปิดสูงขึ้นในวันจันทร์ แต่ตลาดส่วนใหญ่ยังคงทรงตัวท่ามกลางความระมัดระวังที่เพิ่มมากขึ้นจากนักลงทุน ด้าน Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.09% ในขณะที่ Nasdaq และ S&P 500 ตกลง 0.10% และ 0.12% ตามลำดับ
นโยบายสหรัฐฯ ส่งผลดีต่อหุ้นพลังงานหมุนเวียน
แม้จะขาดความเชื่อมั่นจากผลของการประกาศดัชนีหลัก แต่หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานหมุนเวียนจำนวนมากขึ้นเมื่อวานนี้ หลังจากที่วุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายเกี่ยวกับสภาพอากาศ พลังงาน และการดูแลสุขภาพในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ร่างกฎหมายนี้มีการจัดสรรเงินประมาณ 370 พันล้านดอลลาร์ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลงทุนในแหล่งพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขออนุมัติเพิ่มเติม โดยมี First Solar, Bloom Energy และ Rivian Automotives เป็นหุ้น 3 ตัวที่ได้รับประโยชน์จากข่าวนี้ จึงทำให้มีการปิดท้ายเซสชั่นด้วยกำไรถึง 4.75%, 4.36% และ 6.78% ตามลำดับ
การรายงานผลประกอบการที่กำลังสิ้นสุดลง
การรายงานผลประกอบการได้ได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว และบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งก็รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ไปเรียบร้อยแล้ว จึงมีสิ่งที่ต้องระวังในสัปดาห์นี้คือ Disney ที่จะมีการประกาศผลประกอบการหลังจากตลาดปิดในวันพุธที่จะถึงนี้
ซึ่งหุ้น Disney ร่วงลงมากกว่า 30% ในปีนี้ จากการที่สวนสนุกของ Disney ในแคลิฟอร์เนียปิดยาวนานเกือบ 1 ใน 3 ของของไตรมาส ในปี 2021 แต่ก็มีการคาดการณ์ว่ารายรับและรายได้จะเพิ่มเพิ่มขึ้นทุกปี นักลงทุนจึงจับตาการรายงานที่จะมาถึงนี้
นอกจากนี้ยังมีอีกอย่างที่น่าสนใจ คือ อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาในปีนี้มีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นมากขึ้น จึงอาจส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในธุรกิจของ Disney
ภาพจาก: Admiral Markets MetaTrader 5 – กราฟรายวัน Walt Disney Co. ในช่วงวันที่: 3 ธ.ค. 2021 –
8 ส.ค. 2022 วันที่เก็บข้อมูบ: 8 ส.ค. 2022 – ประสิทธิภาพที่ผ่านมาไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต
ภาพจาก : Admiral Markets MetaTrader 5 – กราฟรายสัปดาห์ Walt Disney Co. ในช่วงวันที่: 7 ก.พ. 2016
– 8 ส.ค. 2022 วันที่เก็บภาพ: 8 ส.ค. 2022 – ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่ตัวบ่งชี้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือในอนาคต